วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction)


การหย่อนสมรรถภาพทางเพศคืออะไร?

การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่ากามตายด้านนั้น คือภาวะที่อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวได้สมบูรณ์ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ อาการนี้อาจเกิดขึ้นกับผู้ชายในช่วงวัยใดก็ได้ แต่ก็มักจะพบมากขึ้นตามอายุทิ่เพิ่มขึ้น

กลไกในการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายค่อนข้างมีความซับซ้อน กล่าวคือ สิ่งเร้าจะกระตุ้นสมองให้ส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาทไขสันหลัง สัญญาณเหล่านี้ก็จะกระตุ้นให้เกิดการปล่อยสารเคมีที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลไปทำให้หลอดเลือดส่งเลือดเข้าสู่อวัยวะเพศชาย จึงทำให้อวัยวะเพศชายขยายใหญ่ขึ้น เนื้อเยื่อของอวัยวะเพศชายมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ เรียงตัวกันเป็นแท่ง การแข็งตัวของอวัยวะเพศชายจะเกิดขึ้นเมื่อมีเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อนี้และมีการขยายตัวเต็มที่ การขยายตัวดังกล่าวจะไปกดเส้นเลือดดำทำให้เลือดไหลออกจากอวัยวะเพศชายได้น้อย สาเหตุของการเสื่อสมรรถภาพทางเพศนั้นอาจเกิดจากการสะดุดในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งที่กล่าวมา โดยอาจมีสาเหตุจากปัญหาทางร่างกายหรือจิตใจก็ได้

ถึงแม้ว่าการไม่แข็งตัวของอวัยวะเพศชายนั้นจะเป็นเรื่องปกติและไม่ใช่สัญญาณของการเกิดปัญหาเรื้อรังก็ตาม แต่ผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนเรื่องวิธีการรักษาก็จะแตกต่างกันไปตามสาเหตุของการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

สาเหตุของการหย่อนสมรรถภาพทางเพศคืออะไร?
  • ปัญหาทางอารมณ์และจิตใจ เช่น ความรู้สึกผิดหรือความกังวลต่างๆ โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งกลัวว่าอวัยวะเพศจะไม่สามารถแข็งตัวได้ จนกลายเป็นสิ่งรบกวนใจถึงขนาดที่ทำให้เกิดเป็นความคาดการณ์ไปเองว่าจะเป็นเช่นนั้น
  • สภาวะที่มีผลกระทบต่อสมองและการลดลงของแรงขับทางเพศ ได้แก่ อาการซึมเศร้าหรือโรคจิตเภท การใช้ยาที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยาระงับประสาท ยาต้านการซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด และแอลกอฮอล์ รวมไปถึงการป่วยเรื้อรัง เช่นโรคหัวใจ ปอด ไต หรือโรคตับ และโรคมะเร็งบางชนิด
  • การเปลี่ยนแปลงด้านฮอร์โมนที่ทำให้ความต้องการทางเพศลดลง รวมถึงระดับเทสโทสเทอโรนลดลง ระดับโปรแลกตินเพิ่มขึ้น(ซึ่งขึ้นอยู่กับการทำงานของต่อมพิทูอิทารี่) และภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากหรือน้อยเกินไป
  • ความผิดปกติต่างๆ ทางสมอง ซึ่งความผิดปกตินี้อาจไม่มีผลต่อเรื่องความต้องการทางเพศ แต่จะมีความเกี่ยวเนื่องทางระบบประสาทซึ่งมีผลต่อการทำหน้าที่ทางเพศ ความผิดปกติดังกล่าวจะรวมถึงเนื้องอกในสมองและเส้นเลือดในสมองอุดตันด้วย
  • มีความผิดปกติที่บริเวณไขสันหลัง เช่น ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง (Multiple Sclerosis) หรือการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
  • เส้นประสาทส่วนปลายถูกทำลาย โดยมีสาเหตุจากโรคเบาหวาน หรือการผ่าตัดกระดูกเชิงกรานเพื่อรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก หรือมะเร็งลำไส้
  • การรับประทานยาบางชนิดก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาการเสื่อสมรรถภาพทางเพศได้ ได้แก่ ยาต้านอาการซึมเศร้า anticholinergics ยากลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน ยาลดความดันโลหิตสูง เบต้า-บล็อกเกอร์ (และยาลดความดันอื่นๆ ในกลุ่ม antihypertensives) รวมไปถึงการได้รับสารนิโคตินจากการสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานๆ ด้วย
  • โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดส่วนปลาย (การไหลเวียนของเลือดไม่ถึงอวัยวะส่วนปลายสุดและอวัยวะเพศชาย)
  • ความอ่อนล้า
  • อายุมากขึ้น
อาการของการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  • อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวหรือคงความแข็งตัวไว้ได้ จนทำให้เกิดความพอใจในขณะปฏิบัติกิจทางเพศได้
วิธีรักษาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  • หลีกเลี่ยงการรับสารนิโคตินจากการสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพย์ติดอื่นๆ
  • ถ้ายาที่ใช้อยู่เป็นสาเหตุของการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ แพทย์ผู้ให้การรักษาอาจเปลี่ยนยาชนิดใหม่ให้
  • กรณีที่การหย่อนสมรรถภาพทางเพศมีสาเหตุจากปัญหาด้านอารมณ์หรือจิตใจ แพทย์หรือผู้ให้คำปรึกษาทางจิตเวชจะเป็นผู้ที่สามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมเพื่อรักษาอาการดังกล่าวได้
  • ถ้าระดับเทสโทสเทอโรนในเลือดต่ำ สามารถรักษาได้ด้วยการฉีดเทสโทสเทอโรนเข้าร่างกายหรือแปะที่ผิวหนัง
  • อาจต้องทำการรักษา ถ้ามีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนสูง (Hyperthyroidism) หรือ ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (hypothyroidism) จนเกินไป
  • การรักษาด้วยยา Bromocriptine เพื่อรักษาระดับของโปรแลคตินที่เพิ่มมากเกินไป
  • ในปัจจุบันมีการรักษาด้วยยารับประทานสามชนิดที่มีประสิทธิภาพ นั่นคือ ยาไวอะกร้า (sildenafil) ยาเลวิตร้า(vardenafil) และยาเซียลิส (tadalafil) ยาทั้งสามชนิดสามารถรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้โดยทำให้เลือดไหลเวียนเข้าไปสู่อวัยวะเพศชายได้ในระหว่างมีการกระตุ้นทางเพศ ยาเหล่านี้จะไม่ได้ก่อให้เกิดการแข็งตัวในช่วงที่ไม่ได้มีการกระตุ้นทางเพศ ยาไวอะกร้าและเลวิตร้าช่วยให้อวัยวะเพศชายแข็งตัวได้ประมาณ 4 ชั่วโมง ส่วนยาเซียลิสจะมีผลประมาณ 24-36 ชั่วโมง ผลข้างเคียงของยาทั้งสามแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ยานี้ไม่ควรใช้กับผู้ที่กำลังใช้ยาประเภทที่มีส่วนผสมไนเตรทอยู่ เช่น ไนโตรไกลเซอริน หรือไม่ควรใช้กับคนไข้ที่เป็นโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน มีอาการหัวใจวาย หรือหัวใจเต้นผิดปกติขั้นรุนแรง
  • การใช้เครื่องปั๊มสูญญากาศเพื่อช่วยให้เกิดการแข็งตัว หลักการทำงานของเครื่องคือ อากาศจะถูกปั๊มออกจากท่อพลาสติกที่นำไปสวมไว้ที่อวัยวะเพศชาย ภายในเวลา 2-3 นาทีหลังทำการปั๊ม เลือดจะถูกดึงให้เข้าไปที่เนื้อเยื่อ corpora cavernosa ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีลักษณะคล้ายฟองน้ำ เมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวแล้ว เครื่องมือนี้จะถูกนำออกไป จากนั้นจึงนำหนังสติ๊กรัดที่ฐานของอวัยวะเพศชาย เพื่อช่วยให้คงการแข็งตัวได้
  • การฉีดยา alprostadil ด้วยตัวเอง ยาชนิดนี้เป็นยาที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เพื่อนำเลือดเข้าสู่อวัยวะเพศชาย จนเกิดการแข็งตัว แพทย์ของคุณจะเป็นผู้แนะนำเทคนิควิธีการฉีดยาที่ถูกต้อง
  • การรักษาด้วยการผ่าตัดสอดใส่วัสดุเข้าไปในอวัยวะเพศชาย วิธีการหนึ่งก็คือการสอดใส่วัสดุที่ขยายตัวได้ และมีโพรงสำหรับกักเก็บของเหลวได้ด้วย อีกวิธีการหนึ่งก็คือการฝังแท่งที่ยืดหยุ่นได้ ซึ่งสามารถดัดให้โค้งมาข้างหน้าเมื่อต้องการให้อวัยวะเพศอยู่ในภาวะแข็งตัว หรือเพื่อพับเก็บไว้กับลำตัวได้
  • ในบางกรณีซึ่งไม่มากนัก แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดหลอดเลือด เพื่อให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่อวัยวะเพศชายได้ดีขึ้น
การป้องกันการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ 2 แก้ว
  • งดสูบบุหรี่
  • ปรึกษานักบำบัดเกี่ยวกับการปรับปรุงการสื่อสารกับคู่ของคุณ

อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง

อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง

อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง

โรคทุกชนิดที่ เกิดกับร่างกายคนเรา หากเราดูแลสุขภาพด้วยการใส่ใจกินอาหารที่มีประโยชน์ เชื่อว่าย่อมสามารถบรรเทาอาการของโรคและช่วยยืดอายุให้ยืนยาวได้ เช่นเดียวกันกับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง วันนี้เรามีคำแนะนำเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพที่ควรทานและควรหลีกเลี่ยงมาฝาก กัน อยากรู้ว่ามีอาหารอะไรบ้างนั้น มาติดตามไปพร้อมกันเลยค่ะ
อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง1.เลือกกินผลิตภัณฑ์จากนมที่ไร้ไขมัน เช่น นมขาดมันเนยหรือนมพร่องมันเนยและโยเกิร์ตไร้ไขมัน เป็นต้น
2.อาหารประเภทธัญพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสี เช่น ข้าวกล้องและข้าวโอ๊ต เป็นต้น
3.ผักสดหลากหลายชนิด โดยเฉพาะข้าวโพดและกระเทียมเพราะมีคุณสมบัติลดไขมันในเลือดได้ดี
4.ผลไม้หลากหลายชนิด แต่ยกเว้นผลไม้ที่มีรสชาติหวานจัดหรือผลไม้ที่สุกเกินไป ควรหลีกเลี่ยงจะดีที่สุด
5.กินถั่วชนิดต่างๆ เพราะถั่วมีไขมันดีต่อสุขภาพและจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้
6.กินเนื้อปลาและเนื้อสัตว์ที่ไร้ไขมัน
Senior man having a healthy breakfast
7.หลีกเลี่ยงการกินไขมันจากสัตว์ โดยกินไขมันจากพืชแทน เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอกและน้ำมันรำข้าว น้ำมันที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือ น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว เนื่องจากมันจะยิ่งเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลให้สูงขึ้นจนทำให้หลอดเลือดเกิดการ ตีบแข็งตามมาได้
8.กินอาหารเพื่อสุขภาพประเภทต้ม ต้มยำ แกงส้ม แกงเลียง ยำ นึ่ง อบและย่าง โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบจากกะทิ เพราะมีไขมันสูงลิบเช่นเดียวกัน
9.กินไขมันที่ได้จากปลาทะเล เช่น น้ำมันตับปลาและปลาแซลมอน เพราะมันมีส่วนช่วยให้ไตรกลีเซอไรด์ลดน้อยลงอีกทั้งยังสามารถช่วยลดการจับ ตัวเป็นกลุ่มก้อนของเกล็ดเลือดได้ดีอีกด้วย
10.เน้นกินอาหารที่ให้ไฟเบอร์สูง โดยเฉพาะผักผลไม้นอกจากเสริมวิตามิน แร่ธาตุให้แก่ร่างกายดีแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้ด้วย
food3
อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง
1.หลีกเลี่ยงอาหารที่อุดมด้วยไขมันสูง โดยเฉพาะอาหารทอดๆ มันๆ ทุกชนิด
2.หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีมันหรือติดมัน เช่น หนังไก่ หนังเป็ด ไข่แดง เบคอน แฮม หมูยอ ตลอดจนอาหารทะเลอย่างปลาหมุกและหอยนางรม
3.หลีกเลี่ยงขนมหวานที่มีกะทิ น้ำตาลหรือมะพร้าวเป็นส่วนประกอบ เช่น ขนมถ้วย ขนมหม้อแกงและกล้วยบวชชี เป็นต้น
4.ขนมต่างๆ ที่มีไขมันแอบแฝงอยู่ เช่น โดนัท คุ้กกี้ เค้กและไอศกรีม เป็นต้น
5.อาหารที่เป็นไขมันจากสัตว์ต่างๆ เช่น เนย มันไก่ มันหมูและมันวัว
6.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอกอฮอล์ทุกชนิด โดยเฉพาะการดื่มเบียร์เนื่องจากมันจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการสะสมของไตรกลีเซ อไรด์มากขึ้น

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

5 อาหารดีๆ บำรุงไต

/data/content/26522/cms/e_diklnpvxz167.jpg
         การรับประทานอาหารหลายๆอย่างที่มากเกินความจำเป็น จะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารบางชนิดเกินกว่าความต้องการและอาจทำให้ "ไต" ต้องทำงานหนักและเสื่อมเร็วได้
         แต่สำหรับอาหารบางชนิดเมื่อรับประทานแล้วมีส่วนช่วยบำรุงไตให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เช่น กระเทียมสด ,หอมหัวใหญ่,กะหล่ำปลี ,ปลาสด และแครนเบอร์รี่ 
        1. กระเทียมสด  จะมีสารอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดี มีสรรพคุณในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา รวมทั้งป้องการโรคหัวใจโรคหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไต และการอักเสบต่างๆ
        2. หอมหัวใหญ่  เป็นอาหารบำรุงสุขภาพสำหรับคนที่มีระดับครีเอตินิน ในระดับสูง หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคไต ซึ่งในหอมหัวใหญ่จะมีสารประกอบธรรมชาติอย่างโพรสตาแกลนติน ที่มีคุณสมบัติในการลดความหนืดของเลือด และช่วยลดความดันของเลือด ซึ่งจะทำให้ลดอาการโรคไตลงได้
        3. กะหล่ำปลี  จะมีวิตามิน C กรดฟอลิก เส้นใย และยังมีโพแทสเซียมต่ำ ซึ่งสามารถขจัดสารพิษบางอย่างออกจากร่างกายได้ ทำให้ลดภาระการทำงานของไตได้ และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทั้ง 2 โรค สามารถเชื่อมโยงการเกิดโรคไตได้
        4. ปลาสด เช่น แซลมอน เทราต์ และซาร์ดีน  อุดมไปด้วยโปรตีนและโอเมก้า 3 ที่คนไม่สามารถผลิตเองได้ ซึ่งการกินปลาสดเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอลสูงได
        5. แครนเบอร์รี่   ผลไม้ลูกเล็กสีแดงที่จะช่วยเพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ และลดความเสี่ยงในการเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ด้วย

10 อาหารสุขภาพ ที่ควรมีติดตู้เย็น

 อาหารถือเป็นปัจจัยสี่ที่มีความสำคัญกับชีวิตเราเป็นอันดับหนึ่ง ยิ่งปัจจุบันคนทั่วโลกหันมาใส่ใจกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น การเลือกทานอาหารที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกายจึงกลายเป็นกระแสที่หลายๆ คนทำ โดยเฉพาะในหมู่สาวๆ ที่ต้องดูแลรูปร่างไม่ให้มีไขมันส่วนเกิน ว่าแต่อาหารสุขภาพชนิดใดที่สาวๆ ควรมีติดตู้เย็นบ้าง
   น้ำเปล่า 
ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมายสำหรับความจำเป็นและคุณประโยชน์ทำให้เราต้องดื่มน้ำ เพราะ "น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ เรียกว่าสาวคนใดอยากสุขภาพดีอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้วนะคะ

  ผัก เหมาะมากสำหรับการเป็นอาหารในยุคเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณปลูกพืชผักสวนครัวไว้ทานเอง คุณจะได้ทานผักที่สดและปลอดภัยจากสารพิษ รวมทั้งประหยัดเงินในกระเป๋า ในส่วนของคุณประโยชน์ของผักนั้น "ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำใส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

  ไข่ไก่
หากคุณกำลังหาอาหารไว้ติดตู้เย็นสักชนิดที่ทั้งราคาถูกและมีคุณค่าทางอาหาร เราขอแนะนำ "ไข่ไก่" ค่ะ เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิดๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก
  
  นม
"นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้เย็นนะคะ เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัวค่ะ เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง

  เนื้อปลา
สาวๆยุคใหม่หลายคนมองข้ามการทานเนื้อสัตว์ไปเพราะกลัวอ้วน แต่เราว่าคุณจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่หลังจากที่ทราบคุณประโยชน์ของ "เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

  ผลไม้รสเปรี้ยวต้องย้ำไว้ก่อนค่ะว่าเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีททำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย
  
  โยเกิร์ต
เป็นผลิตภัณฑ์จากนมยอดฮิตที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ โดยใน "โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี 2, บี3,บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนนะคะว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้นๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุดค่ะ

  แอปเปิ้ล
คำกล่าวที่ว่า "ถ้ารับประทานแอปเปิ้ลวันละผลแล้วล่ะก็จะไม่ต้องไปหาหมอ" คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงนัก เพราะแอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น อ้อ ถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือกค่ะ เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัมทีเดียว

  ถั่ว 
"ถั่ว" ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียวค่ะ ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของคุณค่ะ ที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล ใครที่อยากทานอาหารสุขภาพราคาประหยัดต้องไม่พลาดถั่วค่ะ

  ธัญพืช
มื้อเช้าที่เร่งรีบ ถ้าคุณไม่มีเวลาในการเข้าครัวเพื่อทำกับข้าว การมี "ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์

อาการของโรคตับแข็ง

อาการของโรคตับแข็งในผู้ป่วยระยะแรกเริ่ม มักไม่มีอาการผิดปกติ ส่วนใหญ่ตรวจพบโดยบังเอิญ โดย
อาจมีอาการอ่อนเพลีย หมดแรง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ น้ำหนักตัวลด เป็นต้น ถ้ารุนแรงมากขึ้น อาจจะ
สังเกตพบว่าผิวหนังและตาขาวของผู้ป่วยจะมีสีเหลือง ผู้ป่วยอาจมีอาการท้องมานน้ำและขาบวม ฝ่ามือมี
สีแดงเข้มผิดปกติ พรายย้ำช้ำเขียวตามผิวหนัง มักเกิดบริเวณหน้าอก และหัวไหล่ นอกจากนั้นอาจเกิด
ภาวะแทรกซ้อน ติดเชื้อง่าย อาจมีอาการทางสมองเช่น ซึม สับสน ความทรงจำเสื่อม ขาดสมาธิ จนถึง
ขั้นไม่รู้สึกตัว

          ตับ เป็นอวัยวะที่ช่วยขจัดสารพิษและเชื้อโรคออกจากร่างกาย สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับโรคติด
เชื้อ สร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัว ตลอดจนสร้างน้ำดี ซึ่งมีหน้าที่ช่วยการดูด
ซึมไขมันและวิตามินชนิดละลายในน้ำมัน เมื่อตับถูกทำลายจนไม่สามารถทำงานได้เช่นเดิมอีกต่อไป 
ทำให้เกิดเป็นโรคตับแข็ง โรคร้ายที่คร่าชีวิตประชากรโลกด้วยความทุกข์ทรมานเฉลี่ยปีละ 25,000 คน 
โรคตับแข็งเป็นสภาวะตับที่เกิดแผลขึ้นหลังจากมีการอักเสบของเนื้อตับ และเกิดพังผืดแข็งแทรกในตับ
 ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวกเนื่องจากถูกอุดกั้น

          อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคตับแข็ง อาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ อาการที่เกิดจาก
การทำงานของตับลดลง และ อาการที่เกิดจากความดันเลือดในตับสูง


อาการที่เกิดจากการทำงานของตับลดลง
          อาการที่เกิดจากการทำงานของตับลดลง เช่น อาการ
 อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย จะค่อย ๆ เกิดขึ้นโดยไม่ค่อยรู้สึกตัว เริ่ม
แรกจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้อง
อืดเฟ้อ คลื่นไส้ และอาจมีอาการอาเจียนเป็นบางครั้ง รู้สึกเจ็บ
บริเวณชายโครงขวาเล็กน้อย หากอาการมากขึ้นจะมีการสร้าง
โปรตีนลดลง ทำให้เท้าบวม มีน้ำในช่องท้อง เกิดท้องมาน อาจมี
อาการตัวเหลือง ตาเหลืองเป็นดีซ่านได้


อาการที่เกิดจากความดันเลือดในตับสูง
          เกิดจากพังผืดดึงรั้งในตับ ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ เกิดเส้นเลือดขอดใน
หลอดอาหาร ผู้ป่วยอาจมาด้วยอาการอาเจียนเป็นเลือด เนื่องจากเส้นเลือดที่หลอดอาหารขอดแล้วแตก
 ซึ่งอาจถึงช็อกและเสียชีวิตได้ ในรายที่เป็นมากอาจซึม หรือในระยะยาวอาจเกิดมะเร็งตับได้


วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ออกกำลังกายให้ ‘น้องชาย’ แข็งแรง

                                        
ออกกำลังกาย ‘น้องชาย’ แข็งแรง
สุขภาพที่ดีของอวัยวะเพศชาย คือสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ชายแทบจะทุกคน และกล่าวได้ว่า เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้หญิงหลายคนด้วย เพราะผู้หญิงที่มีคนรัก ก็ย่อมอยากให้คนรักของตัวเอง มี ‘น้องชาย’ ที่มีสุขภาพแข็งแรง สู้งาน ไม่มีถอย!     ถ้าใคร ที่น้องชาย ค่อนข้างอ่อนเปลี้ย มีพลังน้อย ได้เวลาออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางเพศกันแล้ว
เพิ่มความแข็งแรงให้กับมัน
1. ใช้มือยกส่วนหัว (ส่วนปลาย) ขึ้นมา และดึงเบาๆ ให้ยืดออกไปข้างหน้า จับค้างไว้อย่างนั้น 4 - 5วินาที
2. ต่อไป ใช้มือข้างที่ถนัด จับทั้งท่อนให้มั่น และโยกไปทางด้านขวา โยกไปจนกระทั่ง รู้สึกตึงนิดๆ จับค้างไว้ 4 – 5 วินาที
3. ใช้มือจับส่วนหัว และดึงให้ยืดออกไป ทางด้านซ้าย จับค้างไว้ 4 -5 วินาที 
4. จังหวะนี้ โยกน้องชายลงมาด้านล่าง และจับค้างไว้ 4 -5 วินาที 
5. ขั้นตอนสุดท้าย จับน้องชายโยกขึ้นด้านบน และจับค้างไว้ 4 -5 วินาที 
6. ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ 1 -5 อีกครั้ง
7. ปฏิบัติ ตามขั้นตอนที่ 1 -5 ให้ได้ครับ 15 ครั้ง (ประมาณ 5 นาที) 
ออกกำลัง เพื่อความใหญ่ 
1. นวดกาปู๋ จนกระทั่งเริ่มแข็งตัว 
2. ใช้มือข้างที่ถนัด จับที่โคนกาปู๋ โดยทำมือเป็นสัญลักษณ์ ok นิ้วชี้จรดนิ้วโป้ง 
3. เริ่มที่ส่วนโคน ค่อยๆ รูดมือไปที่ส่วนหัวช้าๆ โดยใช้เวลา 2 -3 วินาที 
4. เมื่อถึงส่วนหัว ใช้มืออีกข้างหนึ่ง ทำเป็นสัญลักษณ์ ok เช่นเดียวกัน และทำแบบเดียวกันกับที่ 
อีกมือหนึ่ง ทำในครั้งแรก
5. ปฏิบัติ ตามขั้นตอนที่ 2 -4 อีก ใช้มือทั้งสอง เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ให้มือไปสัมผัส ส่วนปลายสุดของกาปู๋
6. ปฏิบัติต่อเนื่อง เป็นเวลา 5 นาที 
ดูแลน้องชาย ให้สุขภาพดี อยู่เสมอ 
ทิปส์ เพิ่มเติมเล็กน้อย
1. ก่อนออกศึก นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มพลังให้น้องชาย 
2. ทานอาหารที่ดี ต่อสุขภาพ ลดอาหารไขมัน เพื่อช่วยให้น้องชายปฏิบัติภารกิจ ได้ดั่งใจปราถนา 
3. ออกกำลังกายน้องชาย เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ไปหล่อเลี้ยงส่วนนั้นได้เป็นอย่างดี 
4. ถ้าเลิกบุหรี่ได้ ก็ดี เพื่อช่วยรักษาสุขภาพของน้องชาย
5. สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลามากนักอาจใช้อุปกรณ์เสริมจำพวก กระบอกสูญญากาศ เพื่อ เพิ่มขนาด ให้น้องชายของท่านได้ วิธีนี้ทางการแพทย์รับรองว่าได้ผล แต่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด

อาหารอันตราย สำหรับคนไตเสื่อม

อาหารอันตราย สำหรับคนไตเสื่อม
   การเสื่อมของไต อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โรคประจำตัว อย่างความดันโลหิตสูง เบาหวาน เกาต์  ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนในยุคนี้ป่วยเป็นโรคไตกันมากขึ้น เกิดจากพฤติกรรมการกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคไตเสื่อม มีอาหารบางชนิดที่ทำให้การเสื่อมของไตแสดงผลรวดเร็วยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น เราไปทำความรู้จักอาหารเหล่านั้นกันดีกว่า

อาหารกลุ่มไหนอันตรายต่อไต

   เนื่องจากไตทำหน้าที่ในการขับของเสียออกจากร่างกาย เมื่อไตเสื่อม ย่อมส่งผลให้ระบบขับถ่ายไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทำให้เกิดความผิดปกติในการถ่ายปัสสาวะ และมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆตามมาได้ ดังนั้นเหตุที่ผู้ป่วยโรคไตมีอาการแทรกซ้อนของโรคเพิ่มขึ้นนั้น เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไป จึงส่งผลให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น ส่วนอาหารที่ทำให้ไตผิดปกติ นายแพทย์อุปถัมภ์ แจกแจงให้ฟังเป็นกลุ่มๆ ดังนี้
โพแทสเซียม
   เป็นสารอาหารที่ช่วยในการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ปกติคนเราสามารถรับโพแทสเซียมได้วันละ 18 กรัม โดยไม่มีอันตราย เนื่องจากโพแทสเซียมส่วนเกินจะถูกขับออกทางไต ในคนที่มีไตปกติ สามารถปรับการขับโพแทสเซียมได้มากน้อยตามปริมาณที่ได้รับจากอาหาร แต่สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคไต ไตจะไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายได้อย่างที่ควรจะเป็น

   หากไตขับโพแทสเซียมน้อยเกินไป จะทำให้มีโพแทสเซียมคั่งในเลือด ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้อล้า หัวใจเต้นผิดปกติ และอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคไตจึงจำเป็นต้องควบคุมระดับโพแทสเซียมในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สมดุล เพื่อป้องอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น โดยงดผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น หัวปลี มันเทศ เห็ดฟางมะเขือพวง ผักชี หน่อไม้ฝรั่ง ฟักทอง หอมแดง ดอกกะหล่ำ ทุเรียน กล้วย มะละกอสุก กระท้อน ผลไม้แห้งเช่น ลูกเกด ลูกพรุน เป็นต้น และรับประทานผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมน้อย เช่น เห็ดหูหนู บวบ ถั่วพลู แตงกวา บวบ ฟักเขียว ถั่วฝักยาว หอมหัวใหญ่ แตงโม สับปะรด ชมพู่ เป็นต้น
โซเดียมคลอไรด์

   ทำหน้าที่ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ ป้องกันความดันโลหิตสูง และลดการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ในภาวะที่ไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ไตจะไม่สามารถขับโซเดียมคลอไรด์ออกจากร่างกายได้ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการบวม เนื่องจากเกิดการคั่งของน้ำในร่างกาย และความดันโลหิตสูง (ทั้งนี้ ปริมาณโซเดียมคลอไรด์ที่ควรบริโภคใน 1 วัน ประมาณ 2,000 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา)

   คนที่เป็นโรคไต การกินอาหารที่มีรสเค็มมากเกินไป จะยิ่งทำให้ไตทำงานหนักจนเกิดอาการบวมน้ำ ปัสสาวะบ่อย เพราะร่างกายต้องขับโซเดียมคลอไรด์อยู่ตลอด อีกทั้งยังมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้มากกว่าคนปกติ อาหารที่มีโซเดียมคลอไรด์สูงที่ควรหลีกเลี่ยง หรือรับประทานให้น้อยลงคือ เกลือ น้ำปลา น้ำบูดู ซอสปรุงรส ซีอิ๊ว ซุปก้อน ผงฟู กะปิ อาหารตากแห้ง ผักและผลไม้ดองเค็ม ไข่เค็ม กุ้งแห้ง เนยแข็ง เป็นต้น ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเติมผงชูรสในอาหารด้วย
ฟอสฟอรัส    เป็นแร่ธาตุที่มักจะทำงานร่วมกับแคลเชียมในการสร้าง และเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก โดยปกติแล้วฟอสฟอรัสจะถูกขับออกทางไต แต่เมื่อไตเสื่อม ไม่สามารถขับฟอสฟอรัสส่วนเกินออกจากร่างกายได้เหมือนเดิม จะทำให้เกิดการคั่งของฟอสฟอรัสในร่างกาย เมื่อระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูง ร่างกายจะดึงเอาแคลเซียมในกระดูกมาจับฟอสฟอรัส ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ง่าย หากแคลเซียมกับฟอสฟอรัสจับตัวกันเป็นก้อนมากขึ้น อาจไปเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดแดงตามส่วนต่างๆของร่างกายเกิดการอุดตันได้ นอกจากนั้นยังพบอีกว่า การกินอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน จะยิ่งเร่งการเสื่อมของไตให้รุนแรงมากขึ้น

   แหล่งอาหารที่ให้ฟอสฟอรัสสูง และผู้ป่วยโรคไต ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยแข็ง โยเกิร์ต ไอศกรีม เนื้อสัตว์ติดกระดูก ไข่แดง ช็อคโกแลต กาแฟ เบียร์ น้ำอัดลม เป็นต้น
โปรตีน

   คือส่วนประกอบสำคัญของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในร่างกาย แม้ร่างกายจะนำเอาโปรตีนไปใช้ได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อเกิดภาวะไตเสื่อม ไม่สามารถขับของเสียได้ตามปกติ ก็จะทำให้เกิดของเสียที่เกิดจากโปรตีนไปสะสมและคั่งตามอวัยวะต่างๆได้มากขึ้น ทั้งนี้แพทย์ได้แนะนำให้ผู้ป่วยโรคไตงดอาหารที่ให้โปรตีนสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ไข่ ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้  นม เป็นต้น

   นอกจากต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเลือกกินอาหารต้องห้ามในข้างต้นแล้ว ผู้ป่วยโรคไตโดยเฉพาะผู้ที่มีอาการบวมน้ำ ควรมีการควบคุมปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวัน โดยควรดื่มน้ำให้เหลือวันละประมาณ 3-4 แก้วต่อวัน (ประมาณ 750 -1,000 ซีซี) เพื่อช่วยให้ไตซึ่งทำหน้าที่ในการขับปัสสาวะทำงานน้อยลง ส่วนผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการบวมน้ำ สามารถดื่มน้ำได้ตามปกติ

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผลไม้-อาหารดำ 10 อย่างเพื่อสุขภาพ

/data/content/25106/cms/e_aefjkopuy149.jpg
          ขอแนะนำเคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ คืออาหารหรือผลไม้ ที่มีดำ อย่ามองว่าของดำๆ จะมีหน้าตาสีสันที่ไม่น่ารับประทาน เพราะอาหารสีดำเมื่อนำมาปรุงร่วมกับอาหารอื่น ๆ ก็ดูสวยงามและน่ากินได้ ที่สำคัญเมื่อคุณได้อ่านประโยชน์ของอาหารสีดำแล้ว ก็จะทราบว่าสิ่งเหล่านี้ มีคุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพมากมายเลยทีเดียว
/data/content/25106/cms/e_begjnorvyz36.jpg
          1.    แบล็กเบอร์รี  อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารสูง ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจหลอดเลือดและมะเร็งลำไส้ได้ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจน
/data/content/25106/cms/e_aefghilmpqt1.jpg
2.    องุ่นดำ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ด้วย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม ช่วยชะลอความชรา ทำให้ผิวพรรณเปล่ง ปลั่งสดใส
/data/content/25106/cms/e_cgijklnpy139.jpg
3.    ถั่วดำ ในบรรดาถั่วด้วยกัน ถั่วดำถือว่าเป็นถั่วที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด เป็นแหล่งโปรตีน เส้นใยอาหาร และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ดีมากอีกด้วย ถั่วดำช่วยให้ระบบทางเดินอาหารดี ช่วยสร้างสมดุลของน้ำตาลในเลือด ไม่ให้เพิ่มหรือลดลงอย่างรวดเร็ว
/data/content/25106/cms/e_adgjnotz1567.jpg
4.    งาดำ อุดมไปด้วยวิตามินบีที่ช่วยบำรุงประสาท ดังนั้นการกินงาเป็นประจำ จะทำให้หลับสบายไม่อ่อนเพลีย ไม่เป็นโรคเหน็บชาหรืออาการปวดเส้นตามแขนขา ช่วยให้เจริญอาหาร และท้องไม่ผูก
/data/content/25106/cms/e_egmoz1245678.jpg
5.    พริกไทยดำ มีฤทธิ์ในการช่วยกระตุ้นประสาท ช่วยทำให้เจริญอาหาร ทำให้ลิ้นของผู้สูงอายุรับรสได้ดียิ่งขึ้น ช่วยรักษาโรคกระเพาะและลำไส้ ลดการเกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร
/data/content/25106/cms/e_abcejopwxz23.jpg
6.    ข้าวเหนียวดำ   อุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา บี 1 บี 2 บี 6 ช่วยบำรุงระบบประสาทส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และวิตามินอี ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ช่วยในการหมุนเวียนโลหิต
/data/content/25106/cms/e_cfjoqstwz145.jpg
7.    ข้าวกล้องสีนิล  มีเส้นใยอาหารสูง และมีน้ำตาลต่ำ เปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาลในกระแสเลือดช้ากว่าการกินข้าวขัดขาว จึงส่งผลให้อ้วนน้อยกว่า นอกจากนี้ยังช่วยต้านมะเร็ง และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ
/data/content/25106/cms/e_ciklnpqxyz38.jpg
8.    ไก่ดำ  เป็นอาหารบำรุงเลือดสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์และคนสูงอายุ มีประโยชน์ในแง่ช่วยขับฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) ได้ ความดำของไก่ดำนั้นเกิดจากสาร ไมอานินที่มีสรรพคุณทางยา เนื้อไก่ดำยังมีไขมันตํ่ามากกว่าเนื้อไก่ทั่วไป มีธาตุเหล็กสูงช่วยบำรุงเลือด ส่วนมากนิยมนำไปตุ๋นร่วมกับเครื่องยาจีน จะช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมรรถนะการทำงานของร่างกายและเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
/data/content/25106/cms/e_fhjmoptxy569.jpg
9.    เบอร์เกอร์ดำ เส้นพาสต้าดำ อาหารพวกนี้ไม่ได้เป็นสีดำตามธรรมชาติค่ะ แต่ผ่านการปรุงให้เป็นสีดำด้วยน้ำหมึกที่อยู่ในตัวปลาหมึก และเจ้าน้ำหมึกที่ว่าก็มีประโยชน์นะคะ เพราะจะมีโปรตีน ไขมันและเกลือแร่ (โดยเฉพาะเหล็ก) ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ
/data/content/25106/cms/e_acfknvyz1578.jpg
10.      เฉาก๊วย ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับเสมหะ แก้คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ช่วยลดไข้แก้ตัวร้อน เป็นอาหารที่มีแคลอรี่ ต่ำ มีเส้นใยอาหาร และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ นอกจากนี้หากนำต้นเฉาก๊วยมาต้มให้เดือดแล้วนำน้ำเฉาก๊วยมาดื่มเป็นประจำจะช่วยลดอาการโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานได้อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

18 วิธี รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ไม่ให้เจ็บป่วย



    ขึ้นชื่อว่า "สุขภาพ" แล้ว เชื่อว่าหลายๆคน คงปรารถนาที่จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้ แต่ทว่า จะมีวิธีไหนบ้างนั้นลองมาดูกัน ...
          1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี 
                ต้องระวังผลไม้ทั้ง 4 อย่างนี้ มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันที เพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
          2. ผลไม้กับมื้ออาหาร 
                ก่อนทานอาหาร ควรจะเรียกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอ สัก 2-3 ชิ้น ผลไม้ 2 ชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้ว ควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้น เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และยังช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
          4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
                ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
          5. นาฬิกาชีวภาพ
                หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
          6. ความเครียดทำลายผิว
                ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง
          7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
                เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก
          8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
                หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่
          9. เท้าและข้อเท้าบวม
                ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
          10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
                เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย
          11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
                ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
          12. แดดอ่อนตอนเช้า
                แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก
          13. เบาหวานอย่าทานไข่
                ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น
          14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
                การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม
          15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
                ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน
          16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
                สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
          17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
                สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ
          18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
                ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

การหย่อนสมรรถภาพทางเพศหมายถึงภาวะที่อวัยวะเพศ ไม่สามารถแข็งตัวได้อย่างเพียงพอ ที่จะมีเพศสัมพันธ์ บางคนอาจจะไม่แข็งตัว บางคนอาจจะหลั่งเร็ว บางคนอาจจะมีอาการปวดเวลาหลั่ง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศไม่พอ อุบัติการณ์จะพบมากตามอายุกล่าวคือพบได้ร้อยละ 5 ในผู้ที่อายุน้อยกว่า 40 ปี สำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 40-70 ปีจะพบได้ร้อยละ 37.5โรคนี้สามารถรักษาได้หากพบปัญหาและรีบรักษา ผู้ที่มีปัญหานี้ไม่ต้องกังวลเพราะส่วนมากเป็นแค่ชั่วคราว หากเป็นถาวรแสดงว่าอาจจะมีปัญหาทางด้านจิตใจหรือทางร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางเพศสัมพันธ์คือ การแข็งตัวอาจจะต้องใช้เวลานานขึ้น และไม่แข็งเหมือนตอนหนุ่มๆ นอกจากนั้นอาจจะต้องใช้สิ่งเร้ามากกว่าปกติ เมื่อถึงจุดสุดยอดก็ไม่เหมือนเก่า น้ำอสุจิก็น้อยกว่าเก่า ภาวะนี้จะไม่ได้หมายถึงภาวะที่ความต้องการทางเพศลดลงหรือภาวะมีปัญหาในการหลั่ง
โครงสร้างของอวัยวะเพศ
อวัยวะเพศของผู้ชายประกอบไปด้วยท่อสามท่อเหมือนพองน้ำเรียกว่า corpus carvernosum สองท่อวิ่งขนานกับท่อปัสสาวะ อยู่ด้านบน และ corpus spongiosum 1 ท่อวิ่งอยู่ด้านล่าง เมื่ออ่อนตัวความยาวอยู่ประมาณ 8.8 ซม.เมื่อได้รับการกระตุ้นเลือดจะเข้าท่อฟองน้ำทำให้มันสามารถขยายได้มากถึง 7 เท่าทำให้อวัยวะเพศใหญ่ขึ้นและแข็งตัวขึ้นและมีความยาว 12.9 ซม.ตราบเท่าที่ยังมีการตื่นเต้นทางเพศอวัยวะเพศก็ยังแข็งตัว แต่เมื่อมีการหลั่งเลือดออกจากอวัยวะเพศทำให้มีการอ่อนตัว
กลไกการแข็งตัวของอวัยวะเพศ
การที่อวัยวะเพศจะแข็งตัวได้ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
  • หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศต้องไม่ตีบ เพราะการที่อวัยวะเพศจะแข็งตัวต้องมีเลือดไปคั่ง หากมีหลอดเลือดแดงแข็งเลือดก็ไม่สามารถไปเลี้ยงได้อย่างเต็มที่ ภาวะที่ทำให้หลอดเลือดแข็งได้แก่ ผู้ที่สูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
  • ระบบประสาทส่วนปลายซึ่งเป็นระบบที่จะรับความรู้สึกที่เกิดจากการสัมผัสทางร่างกาย
  • ระบบไขสันหลังซึ่งเป็นระบบที่จะเชื่อมโยงการรับความรู้สึกจากประสาทส่วนปลายไปยังประสาทส่วนกลาง และถ่ายทอดคำสั่งมายังองคชาติ
  • ระบบประสาทส่วนกลางซึ่งประกอบด้วยสิ่งเร้าทั้งหลาย เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น รวมทั้งจิตนาการณ์และประสบการณ์ในอดีต
  • จิตก็เป็นเรื่องสำคัญ
ใครที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้
สาเหตุของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศมักจะมีหลายสาเหตุร่วมกัน หากมีหลายสาเหตุก็จะทำให้มีโอกาศเกิดมากขึ้น ปัจจัยที่เป็นสาเหตุได้แก่
  1. อายุ พบว่าอายุมากก็พบโรคนี้ได้เพิ่มขึ้นโดยพบว่าผู้ที่มีอายุ 40-49,50-59,60-70 ปีจะพบ ED ได้ร้อยละ 20.4,46.3,73.4 ตามลำดับ
  2. สังคมและเศรษฐกิจพบว่าผู้ที่มีรายได้สูง มีความรู้ อาชีพที่ดีจะมีปัญหา ED น้อยกว่าคนที่มีรายได้น้อย
  3. โรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง โรคประจำตัวต้องเป็นโรคเรื้อรังที่เป็นมานานพอควรเป็นโรคที่มีผลต่อหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ กล้ามเนื้อบริเวณอวัยวะเพศสามารถทำให้โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เช่นโรคเบาหวาน โรคไต โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคหลอดเลือดแดงแข็ง atherosclerosis โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศในกลุ่มนี้พบได้ร้อยละ 70 โรคที่สำคัญได้แก่
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะจะทำให้มีการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศน้อยลง
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคเบาหวานมักจะเกิดหลังจากเป็นเบาหวานแล้วประมาณ 10 ปีซึ่งมีสาเหตุสำคัญคือ เส้นเลือดแข็ง ระบบประสาทอัตโนมัติ
  • โรคต่อมลูกหมากโต
  1. การผ่าตัดและอุบัติเหตุที่มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปควบคุมการแข็งตัวขององคชาต เช่นการผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน การผ่าตัดต่อมลูกหมาก การได้รับอุบัติเหตุที่อวัยวะเพศ ประสาทไขสันหลัง กระเพาะปัสสาวะ กระดูกเชิงกราน อาจจะทำลายเส้นประสาททำให้เกิดกามตายด้าน การผ่าตัดผ่านทางท่อปัสสาวะ
  2. จากยาที่รับประทาน ยาหลายชนิดอาจจะทำให้ความต้องการทางเพศลดลง บางชนิดอาจจะทำให้เกิดกามตายด้าน
  3. พฤติกรรมการดำรงชีวิตได้แก่
  • การสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่จะมีการเกิด ED สูงกว่าคนไม่สูบโดยพบได้ร้อยละ 45 คนปกติพบได้ร้อยละ 35
  • การดื่มสุรา คนที่ดื่มสุราจะมี RD ร้อยละ 54 ซึ่งคนปกติพบได้ร้อยละ 28
  • การออกกำลังกายผู้ที่ออกกำลังจะพบได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย
  1. ED ที่เกิดจากจิตใจพบได้ประมาณร้อยละ 10-20 ของผู้ป่วยโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ภาวะดังกล่าวอาจจะเกิดจากความเครียด ความวิตกกังวลเกี่ยวกับงาน ครอบครัว ความกลัวความล้มเหลวทางเพศสัมพันธ์ หรือถูกตำหนิจากคู่ครองทำให้หมดความมั่นใจ
อาการของผู้ป่วย
อาการของผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเพศมักจะมีอาการดังนี้
    • ไม่สามารถแข็งตัวได้ตลอดการมีเพศสัมพันธ์
    • อวัยวะเพศไม่แข็งตัวเต็มที่
    • ไม่สามารถแข็งตัวเลย
หากคุณมีอาการดังกล่าวนานเกิน 2 เดือนหรืออาการเกิดซ้ำควรปรึกษาแพทย์
สาเหตุของกามตายด้าน
การแข็งตัวของอวัยวะเพศต้องมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
    • โดยเริ่มต้นจากต้องมีความรู้สึกต้องการทางเพศซึ่งเกิดที่สมองได้รับการกระตุ้นซึ่งอาจจะเกิดจากรูป กลิ่น เสียง สัมผัส และจากความคิด
    • ส่งผ่านความรู้สึกต้องการทางเพศนั้นไปยังประสาทไขสันหลังและไปกระตุ้นอวัยวะเพศทำให้เลือดไหลเข้าอวัยวะเพศ
    • หลอดเลือดที่อวัยวะเพศต้องมีการขยายตัวเลือดจึงจะเข้าในอวัยวะเพศได้อย่างเต็มที่
ดังนั้นหากมีปัจจัยมากระทบกลไกทั้งสามก็จะทำให้เกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
สาเหตุของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศแบ่งตามกลไกการแข็งตัว
สาเหตุของ ED แบ่งตามกลไกการแข็งตัวได้เป็น 3 ขั้นตอนได้แก่
  1. ความล้มเหลวในการกระตุ้นให้เกิดการแข็งตัวมักจะเกิดจากจิตใจ สมอง ระบบประสาท และการขาดฮอร์โมนเพศชาย
  2. ความล้มเหลวที่เลือดแดงจะไหลเข้ามาคั่งในอวัยวะเพศ ประเภทใจสู่แต่องคชาติไม่ขยายตัวยาว ใหญ่และแข็งพอมักจะเกิดจากระบบไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงองคชาติไม่พอ
  3. ความล้มเหลวในการกักกันเลือดแดงที่ไหลเข้ามาคั่งในองคชาติแล้วค้างอยู่ได้มากพอและนานพอที่จะทำให้ องคชาตแข็งตัวเต็มที่และนานพอที่จะมีเพศสัมพันธุ์ได้สำเร็จ มักจะเกิดจากผู้สูงอายุมีพังผืดมาแทนหลอดเลือดแดง
สาเหตุของ ED แยกตามระบบต่างๆ
  1. ความผิดปกติของเส้นเลือดแดง เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดสาเหตุสำคัญได้แก่
  • โรคเบาหวาน
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคไขมันในเลือดสูง
  • การสูบบุหรี่
  • การฉายแสง
  • คนที่ขี่จักรยานทางไกล ขี่มอเตอร์ไซด์
  1. ความผิดปกติของระบบประสาท แบ่งตามระดับต่างๆได้ดังนี้
  • ระดับสมอง เช่นเนื้องอกสมอง โรคลมชัก อัมพาต Parkinson Alzheimer's disease
  • ระดับไขสันหลัง สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือการได้รับอุบัติเหตุ
  • ระดับเส้นประสาทและปลายประสาท สาเหตุที่พบบ่อยคือโรคเบาหวาน นอกจากนั้นยังพบได้ในผู้ที่ผ่าตัดในช่องท้อง ผ่าตัดต่อมลูกหมาก
  1. ความผิดปกติเกี่ยวกับหลอดเลือดดำ มักจะพบในผู้ที่สูงอายุ โรคเบาหวานเนื่องจากมีการแข็งตัวของหลอดเลือดดำ
  2. ความผิดปกติในระดับฮอร์โมน ผู้ที่มีฮอร์โมนเพศชายน้อยกว่าปกติมักจะมีปัญหาเรื่อง ED โดยจะมีความต้องการทางเพศลดลง แต่จะไม่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของอวัยวะเพศ
  3. ความผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องจิตใจซึ่งแบ่งได้เป็นสองประเภท คือพวกที่มีโรคทางจิตใจอยู่เก่า เช่นโรคซึมเศร้า ผู้ที่เครียด ส่วนประเภทที่สองคือพวกที่มีปัญหาทางเพศซึ่งอาจจะเกิดจากการหลั่งเร็ว หรือแข็งตัวไม่เต็มที่แล้วเกิดความกังวลใจเรื้อรัง
ความรุนแรงของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศแบ่งออกได้ 3 ระดับคือ
  • อาการน้อย คือสามารถมีเพศสัมพันธุ์ได้สำเร็จเกือบทุกครั้ง
  • อาการปานกลาง คือมีเพศสัมพันธุ์ได้สำเร็จประมาณครึ่งหนึ่ง
  • อาการรุนแรง คือมีเพศสัมพันธุ์ไม่สำเร็จ
การวินิจฉัย
    • ประวัติการเจ็บป่วย โรคที่เป็นอยู่ ยาที่ใช้เป็นประจำ ความถี่ของความต้องการทางเพศ ความถี่ของการแข็งตัว ความถี่ของการหลั่ง ข้อมูลเหล่านี้คุณต้องเตรียมไว้สำหรับตอบคำถามแพทย์
    • การตรวจร่างกาย ลองจับอวัยวะเพศว่ามีการแข็งตัวหรือไม่หากไม่มีการแข็งตัวอาจจะหมายถึงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาท มีการร่วงของขนอวัยวะเพศหรือไม่หากมีสาเหตุก็อาจจะเกิดจากต่อมไร้ท่อ
    • การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการณ์ แพทย์จะเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับ น้ำตาล ไต ไขมันผลเลือดทั่วไป สำหรับผู้ที่มีความต้องการทางเพศต่ำอาจจะต้องเจาะหาระดับฮอร์โมน testosterone นอกจากนั้นยังต้องสังเกตการแข็งตัวของอวัยวะเพศระหว่างที่หลับหากสามารถแข็งตัวตอนกลางคืน หรือตอนเช้ามืดแสดงสาเหตุน่าจะเกิดจากจิตใจ
การรักษา
    1. การรักษาเบื้องต้นต้องกำจัดหรือลดปัจจัยเสี่ยงให้น้อยที่สุด คือจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตเช่น รับประทานอาหารที่มีกากอาหาร อาหารที่มีไขมันต่ำ ลดเกลือ งดสุรา งดบุหรี่
    2. Psychotherapy การรักษาทางด้านจิตใจหากปัญหากามตายด้านเกิดจากทางด้านจิตใจแพทย์จะช่วยลดความกังวล
    3. การใช้ยาในการรักษา Drug Therapy มีทั้งยารับประทาน ยาฉีดหรือยาสอด 
    •  Sildenafil citrate หรือชื่อในทางการค้าว่า Viagra เป็นยาที่ใช้รักษาอาการกามตายด้านตัวแรกโดยต้องรับประทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ 30 นาที-1 ชั่วโมง ควรจะรับประทานยาตอนท้องว่าง ยาจะออกฤทธิ์นาน 4-5 ชั่วโมง จนทำให้บางคนสามารถมีเพศสัมพันธ์ตอนเช้าทั้งที่รับประทานยาตอนก่อนนอน ยานี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อผู้ที่ใช้จะต้องมีความต้องการทางเพศ ยานี้จะเพิ่มเลือดให้ไปเลี้ยงอวัยวะเพศมากขึ้นขนาดที่ใช้ 50 มิลิกรัมต่อวันไม่ควรใช้มากกว่า 1 ครั้งต่อวัน สำหรับผู้ที่มีโรคตับ ไตวาย หรืออายุมากกว่า 65 ปีอาจจะเริ่มวันละ 25 มิลิกรัมต่อวัน หากได้ผลไม่ดีและไม่มีโรคแทรกซ้อนจึงเพิ่มขนาดของยา ข้อห้ามใช้ยานี้ได้แก่ผู้ที่เป็นโรคหัวใจได้รับยา nitrate ไม่ควรใช้ยานี้เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำเป็นลมและเกิดอันตราย ส่วนการรับประทานยานี้ร่วมกับยาลดความดันชนิดอื่นก็ไม่ส่งผลเสีย ยาในกลุ่มนี้ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยได้แก่ Levistra
    • ยาในกลุ่ม alpha blocker ได้แก่ yohimbine [Procomil] แต่เดิมเป็นยากระตุ้นความต้องการทางเพศ แต่ปัจจุบันทราบว่ายานี้ออกฤทธิ์ที่สมอง และขยายหลอดเลือดที่ส่วนปลาย รวมทั้งองคชาตทำให้แข็งตัวได้ ขนาดของยาที่ใช้ 18-30 มิลิกรัมให้รับประทานติดต่อกัน 1-3 เดือน แต่ต้องระวังโรคแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง ใจสั่น ปัสสาวะบ่อย
    • Apomorphine ส่วนใหญ่ใช้ 2-4 มิลิกรัม ออกฤทธิ์ใน 10-25 นาทีใช้อมใต้ลิ้น ผลข้างเคียงของยาต่ำมีเพียงคลื่นไส้อาเจียนเท่านั้น
    • ยาฮอร์โมน testosterone เหมาะสำหรับผู้ที่มีระดับฮอร์โมน testosterone ในเลือดต่ำ
    • การฉีดยาเข้าอวัยวะเพศ ยาที่นิยมใช้คือ papaverine hydrochloride,phentolamine, and alprostadil ยาเหล่านี้จะทำให้หลอดเลือดขยาย ยานี้จะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากฉีดไปแล้ว 5-20 นาทีและออกฤทธิ์ได้นาน 1 ชั่วโมง ผลข้างเคียงของยาอาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าโด่ไม่รู้ล้มจะทำให้เกิดอาการปวด เกิดอาการปวดบริเวณที่ฉีด เลือดออก
    • การใส่ยาเข้าทางท่อปัสสาวะจะเริ่มออกฤทธิ์ในเวลา 8-10 นาที และอยู่ได้นาน 30-60 นาทีและต้องใช้ยางรัดไวเพื่อให้อวัยวะเพศแข็งตัวนาน ผลข้างเคียงมีการระคายเคืองต่อท่อปัสสาวะ อัณฑะ อาจจะมีเลือดออกจากท่อปัสสาวะ
    1. การใช้เครื่องสุญญากาศ Vacuum Devices โดยการใช้เครื่องสุญญากาศครอบที่อวัยวะเพศ หลังจากนั้นก็สูบอากาศให้ออกจากท่อทำให้เลือดเข้าไปในอวัยวะเพศจนอวัยวะเพศแข็งตัวได้ดีจึงใช้ยางรัด
    2. การผ่าตัด Surgery ซึ่งมีการผ่าตัดได้ 3 วิธี
    • การผ่าตัดใส่ท่อ prostheses เข้าไปในอวัยวะเพศ ท่อนี้จะต่อเข้ากับเครื่องปั้มเพื่อปั้มน้ำเข้าท่อทำให้เกิดการแข็งตัว
    • การผ่าตัดแก้เส้นเลือดแดงอุดเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุเหมาะสำหรับคนหนุ่ม
    • การผ่าตัดแก้หลอดเลือดดำไม่นิยมทำ
ในการเลือกวิธีรักษาแพทย์จะพิจารณาจากอายุและโรคที่เป็นอยู่ หากคุณมีโรคอะไรต้องบอกแพทย์ก่อนรักษาทุกครั้งเนื่องจากมีบางภาวะที่อาจจะมีอันตรายหากมีเพศสัมพันธ์เช่น
    • เพิ่งเกิดโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมองในระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา
    • มีการเต้นผิดปกติของหัวใจบางชนิด
    • มีอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากหัวใจขาดเลือดซึ่งยังควบคุมไม่ได้
    • ความดันโลหิตที่ยังควบคุมไม่ได้
    • โรคหัวใจวายที่ยังควบคุมไม่ได้
    • โรคลิ้นหัวใจตีบชนิดรุนแรง

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โรคตับ

โรคตับ อวัยวะสำคัญอย่างหนึ่งของร่างกายเรา อยู่ใต้ชายโครงด้านขวา มีหน้าที่ในการผลิตน้ำดี เพื่อไปย่อยอาหารประเภทไขมัน และกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกายของเรา นอกจากนี้ยังช่วยผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดได้อีกด้วย ส่วนโรคเกี่ยวกับตับนั้นมีหลายชนิด ทั้งตับอักเสบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือจากสารพิษ กรรมพันธุ์ หรือภาวะภูมิแพ้ตนเอง ตับแข็งนั้นเกิดจากการสะสมของเนื้อเยื่อแข็งที่ทดแทนเซลล์ตับที่ตายไปแล้ว โดยมักจะเกิดจากเชื้อไวรัส ภาวะพิษสุราเรื้อรัง หรือการที่ได้รับสารพิษต่างๆ ผู้ป่วยโรคตับนั้นมักจะไม่มีอาการที่ชัดเจน กว่าจะตรวจพบว่าเป็นโรคตับก็สายไปแล้ว


สารบัญ 

อาการของผู้ป่วยโรคตับ 
  ผู้ป่วย โรคตับแข็ง ในระยะแรก มักจะไม่มีอาการที่เห็นได้ชัดเจน อาจจะมีเพียงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ คล้ายอาหารไม่ย่อย จึงไม่ค่อยรู้สึกตัวว่ามีความผิดปกติใดๆที่ตับ แต่พอเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเกิดอาการของตับแข็ง คือ ผู้ป่วยก็จะมีอาการอ่อนเพลีย ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง ท้องโตขึ้น ขาบวม คลื่นไส้ เบื่ออาหารและทำให้น้ำหนักลด อาจจะรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อยและมีอาการคันตามตัว 

โรคตับ
โรคตับ 

สำหรับในผู้หญิงที่เป็น โรคตับแข็ง อาจจะมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น หรืออาจจะมีเสียงแหบแห้งคล้ายผู้ชาย
สำหรับ ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ อัณฑะฝ่อตัว บางคนอาจจะสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือมีจุดแดงที่หน้าอกหรือหน้าท้อง เป็นต้น
โรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคตับ 
1)  ตัวเหลือง ตาเหลือง เพราะตับไม่สามารถที่จะขับน้ำดีออกมาได้ 
2)   มีอาการคันตามร่างกาย เพราะมีน้ำดีสะสมอยู่ตามบริเวณผิวหนัง 
3)  เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ 
4)  ทำให้มีอาการบวมหลังเท้า แขนขา และท้อง เพราะตับนั้นจะไม่สามารถสร้างไข่ขาว (หรือโปรตีนในเลือด) ได้ 
5)   ทำให้เลือดออกได้ง่าย เพราะตับจะไม่สามารถสร้างสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้ 
6)  อาจจะสูญเสียความสามารถเกี่ยวกับความจำหรือสติ เพราะจะเกิดการคั่งของของเสีย 
7)  ผู้ป่วยจะไวต่อยามากขึ้น ดังนั้นการให้ยากับผู้ป่วยโรคตับแข็ง จะต้องระวังการเกิดยาเกินขนาด เพราะตับจะไม่สามารถทำลายยาได้เลย แม้แต่การให้ยาให้ขนาดปกตินั้นก็ต้องระวังด้วย 
8)  ผู้ป่วยจะอาเจียนเป็นเลือด เพราะตับแข็งทำให้ความดันในตับสูง จนทำให้หลอดเลือดดำในหลอดอาหารนั้นมีความดันสูง และถ้าหากมีความดันสูงมาก อาจจะทำให้หลอดเลือดดำแตกได้ 
9)  สามารถติดเชื้อได้ง่าย เพราะมีภูมิคุ้มกันลดลง อาจจะเป็นท้องมานหรือไตวายได้ 
 สัญญาณบ่งบอกการเป็นโรคตับ
 โรคตับ
โรคตับ

1)  มีอาการเครียด ขี้หงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉียวและตกใจง่าย
2)  มีอาการปวดแน่นชายโครงเป็นบางครั้ง และมีอาการตึงเกร็งที่กล้ามเนื้อช่องท้องหรือปวดท้องน้อยบ่อย และรู้สึกร้อนวูบวาบที่ช่องอก
3)  มักจะนอนหลับยาก มักจะง่วงนอนตอนกลางวัน และมีอาการอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง
4)  จะรู้สึกว่ามีอะไรจุกอยู่ในคอหอย กลืนก็ไม่ลงหรือจะคายก็ไม่ออก และทำให้เบื่ออาหาร มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย เรอบ่อย
5)  มีผิวหน้าซีดเหลือง จะไม่มีเลือดฝาดและมีฝ้าบนใบหน้า
6)   บริเวณมุมปากและริมฝีปากจะหมองคล้ำ ส่วนลิ้นจะออกสีม่วงคล้ำ และขอบลิ้นจะมีรอยกดทับของฟัน
7)  มีอาการเจ็บหรือคัดเต้านม โดยจะเป็นหนักขึ้นช่วงก่อนจะมีประจำเดือนสำหรับผู้หญิง และสำหรับผู้ชายจะปวดหน่วงอัณฑะ
8)  จะรู้สึกหายใจไม่เต็มท้อง จึงต้องถอนหายใจบ่อยๆ
9)  มีอาการท้องร่วงหรืออุจจาระหยาบและไม่จับตัวเป็นก้อน
สาเหตุของการเกิดโรคตับมีหลายประการและที่พบบ่อย คือ 
1) การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะการที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก ๆ จะทำให้เกิดความผิดปกติในการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ จึงทำให้เกิดภาวะตับอักเสบและเรื้อรังได้จนกลายเป็นโรคตับแข็ง และผู้หญิงจะเป็นโรคตับแข็งได้มากกว่าผู้ชาย
2)  การเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง เป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไวรัสตับอักเสบซี จนทำให้ตับอักเสบเป็นเวลานานหลายปี ก่อนที่จะกลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด ไวรัสตับอักเสบบีและซีเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อกันทางเลือดและการมีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อเป็นพาหะนั้นมักเกิดโดยไม่รู้ตัว
3) เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งจะพบได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนหรือไขมันในเลือดสูง
4) จากการรับประทานยาบางชนิด และทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเป็นระยะเวลานาน ๆ เช่น ยาแก้ปวด     ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีน ยารักษาวัณโรคบางชนิด
5) โรคทางพันธุกรรมบางโรคที่ทำให้เกิดตับแข็ง เช่น โรคทาลัสซีเมีย
6)  ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง จะทำให้เส้นเลือดคั่งที่ตับ และเลือดไหลเวียนในตับน้อยลง จึงทำให้เนื้อตับขาดภาวะออกซิเจนจนตายลง
7)  พยาธิบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ในเลือดอาจจะทำให้เกิดตับแข็ง
  ผู้ป่วยโรคตับแข็งมักจะปรากฏอาการเริ่มแรกนั้นในช่วงอายุระหว่าง 40 - 60 ปี แต่ถ้าพบในคนอายุน้อยก็ มักจะมีสาเหตุจากตับอักเสบจากเชื้อไวรัส และมีอาการค่อนข้างรุนแรง
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคตับ 
1) หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ถ้าหากตรวจพบว่าเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ห้ามดื่มโดยเด็ดขาด 
2) ให้ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบจากไวรัสบี ซึ่งนิยมฉีดกันตั้งแต่แรกเกิด 
3) ต้องระมัดระวังการใช้ยาที่มีพิษต่อตับ 
 การปฏิบัติตนของผู้ป่วยโรคตับ
 โรคตับ
  โรคตับ      

เนื่องจากตับนั้นมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง รวมทั้งสร้างการทำลายและเผาผลาญสารต่างๆ ในร่างกายรวมทั้งอาหารด้วย และเมื่อผู้ป่วยมีตับแข็ง ตับจะสูญเสียหรืออาจจะมีความบกพร่องในการทำงาน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผู้ป่วยและญาติที่จะต้องช่วยดูแลในการปฏิบัติของผู้ป่วยอย่างเหมาะสม ดังนี้
1) การรับประทานอาหาร สำหรับผู้ป่วยตับแข็งในระยะที่ตับยังสามารถทำงานได้ดี และควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ และควรรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนประมาณวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งประมาณ 60 กรัมต่อวัน และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ
  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เพราะตับจะทำหน้าที่ย่อยไขมันได้น้อยลง และควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์  โดยใช้ไขมันพืชแทน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง
  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ เพราะในอาหารมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบและอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการบวม อาการท้องมานเลวลง โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะแนะนำให้รับประทานเกลือได้แต่ไม่เกินวันละ 2 กรัม เทียบเท่ากับเกลือป่นประมาณ เศษหนึ่งส่วนสามช้อนชาต่อวัน
  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ชื้น เช่น พริกป่น ถั่วป่น เพราะเป็นแหล่งของสารอะฟลาท็อกซิน จะทำให้ตับทำงานมากขึ้น และทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับมากขึ้น
  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สะอาด  อาหารที่เก็บค้างคืน อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ลวกและย่าง
2) หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  สำหรับผู้ป่วยที่มีตับแข็งแล้ว ควรหลีกจะเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุราทุกชนิด เพราะอาจจะทำให้โรคตับแย่ลง นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์ยังเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการแตกของเส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหารและกระเพาะอาหารอีกด้วย ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญของการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคตับแข็ง
3) ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ป่วยตับแข็งที่ตับยังสามารถทำงานได้ดีก็สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติเพียงแต่ไม่หักโหมจนเกินไป และควรพักผ่อนให้เพียงพอ แต่ในกรณีที่ตับทำงานไม่ปกติแล้วควรออกกำลังกายเบาๆ เช่น การวิ่งเหยาะๆ หรือการเดินเร็ว ถ้าหากรู้สึกเพลียก็ควรพัก และที่สำคัญควรต้องระวังการเกิดอุบัติเหตุ เพราะผู้ป่วยตับแข็งอาจจะมีเกล็ดเลือดต่ำและมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้เลือดออกง่ายและหยุดยาก
4) การใช้ยาและสารเคมี ผู้ป่วยตับแข็งควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานยาถ้าไม่จำเป็นและยาสมุนไพรต่างๆ เพราะยาหลายชนิดจะถูกทำลายที่ตับ และยาหลายชนิดเองก็อาจจะทำให้เกิดตับอักเสบ ดังนั้นการใช้ยาควรใช้เมื่อมีข้อบ่งชี้และภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
5) การฉีดวัคซีน ผู้ป่วยตับแข็งนั้นควรตรวจเลือดดูว่าเคยมีการติดเชื้อไวรัสบีและไวรัสเอ หรือไม่ ถ้าไม่ควรรับการฉีดวัคซีนป้องกัน เพราะถ้าเกิดว่าติดเชื้อตับอักเสบฉับพลันจากไวรัสเอ และไวรัสบีในผู้ป่วยตับแข็ง จะมีโอกาสในการเกิดตับวายและอาจเสียชีวิตได้สูง
6) การเฝ้าระวัง  ผู้ป่วยตับแข็งควรจะติดตามการดูแลรักษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด และควรจะมีการเฝ้าระวังการเกิดมะเร็งตับ โดยวิธีการเจาะเลือดตรวจดูค่า AFP ซึ่งจะเป็น marker ของมะเร็งตับชนิดหนึ่งและการตรวจอัลตร้าซาวด์ดูตับทุก 6 เดือน และในกรณีที่ผู้ป่วยตับแข็งต้องได้รับการตรวจหรือการทำหัตถการต่างๆ เช่น การถอนฟัน ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะจะมีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติที่ต้องเตรียมการผู้ป่วยเป็นพิเศษ
7) ยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตตามอน ยังเป็นยาที่ปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้ป่วยตับแข็งจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ มากกว่าคนปกติทั่วไป จึงควรรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตตามอนได้ไม่เกิน 5 เม็ดต่อวัน และแนะนำให้รับประทาน ขนาด 500 มิลลิกรัมครั้งละ 1 เม็ด แต่จะรับประทานซ้ำได้ 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง และในส่วนของยารักษาโรคตับที่แพทย์จัดให้นั้นควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอ และยาบางชนิดเช่น ยาป้องกันเส้นเลือดโปร่งพองแตก แต่ถ้ารับประทานไม่สม่ำเสมอก็อาจจะมีผลเสียมากกว่า
8) รับประทานวิตามิน ผู้ป่วยตับแข็งนั้นมักจะขาดวิตามินหลายชนิด ดังนั้นควรจะรับประทานวิตามินเสริมร่วมด้วย ถึงอย่างไรก็ตามไม่ควรจะรับประทานวิตามินที่ละลายในไขมันเอง เช่น วิตามินเอ วิตามินอี เพราะวิตามินที่ละลายในไขมันนั้นถ้ารับประทานมากจนเกินไปก็จะมีการสะสมที่ตับ และอาจจะมีผลเสียต่อตับเอง และนอกจากนี้ถ้าผู้ป่วยไม่ได้ขาดธาตุเหล็กก็ไม่ควรจะรับประทานเหล็กเสริมเข้าไป เพราะเหล็กจะทำให้เกิดการสร้างผังผืดในตับมากขึ้น