วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

การลดหน้าท้องด้วยตัวเอง อย่างได้ผลจนใครๆก็ทัก


 


การลดหน้าท้องให้ดูดี หุ่นสวย สำหรับใครหลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใช้เพียงความตั้งใจเพียงเล็กน้อย ควบคู่ไปกับวิธีการง่ายๆดังที่กำลังจะแนะนำต่อไปนี้ คุณก็จะสามารถลดหน้าท้องส่วนเกินที่เคยทำให้กังวลใจ กลับมามีความมั่นใจในหน้าท้องที่เรียบเนียนได้เหมือนเดิม
 

วิธีการลดหน้าท้องได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

1. ควบคุมอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการตามใจปากด้วยอาหารที่มีน้ำตาล อาหารทอด และอาหารที่มีไขมันจำนวนมากๆ สัดส่วนของหน้าท้องก็จะขยายตามไปด้วย ดังนั้นจึงควรที่จะควบคุมปริมาณ รวมไปถึงคุณภาพของอาหารในแต่ละมื้อ เช่น หากเคยทานข้าว 2 จานต่อมื้อ ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นทานเพียงจานครึ่ง หรือหนึ่งจาน เป็นต้น

แต่ขอแนะนำว่า ห้ามใช้วิธีการลดหน้าท้องโดยการอดอาหารโดยเด็ดขาด เพราะถึงแม้จะทำให้น้ำหนักตัวลดลง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานจะทำให้การเผาผลาญพลังงานช้าลง ทำให้กล้ามเนื้อเริ่มเหลว ถึงแม้จะช่วยลดหน้าท้องได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ไขมันหายไป ให้ลองเปลี่ยนมาทานผักผลไม้ พร้อมกับดื่มน้ำในแต่ละวันให้มากๆ 


2. การนอนแต่หัวค่ำและพักผ่อนให้เพียงพอ การเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเผาผลาญพลังงานออกมา ซึ่งเป็นการช่วยในการกำจัดไขมันส่วนเกิน และควรพักผ่อนนอนหลับอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าวันละ 6 ชั่วโมง 

3. การออกกำลังกายด้วยตัวเอง การควบคุมอาหารควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการออกกำลังกายเพื่อลดหน้าท้องเองก็มีอยู่หลายวิธี แต่ที่ได้รับความนิยม และสามารถทำได้ง่ายๆด้วยตัวเอง มีดังต่อไปนี้
 
 
  • ซิทอัพ + การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ โดยอาจเริ่มจากการซิทอัพ 20 ครั้ง แล้วค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ผสมกับการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ เช่น การสิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นต้น อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3 วัน ต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยทำให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไปได้ดียิ่งขึ้น
  • การเต้น การเต้น 1 ชั่วโมง สามารถช่วยเผาผลาญไขมันได้ถึง 400 แคลอลี่ โดยเฉพาะการเต้นแบบ Belly Dance นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณสาวๆ มีทรวดทรงที่กระชับเข้ารูปมากยิ่งขึ้น
  • แขม่วหน้าท้อง เป็นการออกกำลังกายง่ายๆที่สามารถทำได้อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังเป็นการช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องอีกด้วย โดยการหายใจเข้าแล้วแขม่วท้องเอาให้ได้มากที่สุด จากนั้นค่อยๆผ่อนลมหายใจออกจากท้องให้มากที่สุด ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง
  • การนั่งยกขา โดยการนั่งหลังตรงพิงกับเกาอี้ ค่อยๆยกขาขึ้นให้ปลายเท้าลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ประมาณ 2-5 นิ้ว ขณะที่ทำการยกขาให้ใช้แรงจากหน้าท้องส่วนล่าง โดยยกขาค้างเอาไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วสลับข้าง ให้ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง
  • การเดิน ในขณะที่การออกกำลังกายโดยการเดิน หน้าท้องจะเกร็งเองโดยอัตโนมัติ ทำให้หน้าท้องกระชับ และยังช่วยลดต้นขาอีกด้วย

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

โรคไตวายเรื้อรังและการรักษา

โรคไตวายเรื้อรังและการรักษา
 
นพ.วิรุฬห์ มาวิจักขณ์
Diplomate, American Board of
Internal Medicine and Nephrology

คนเราเกิดมามีไตอยู่ 2 ข้าง หน้าที่สำคัญของไต คือ การขับของเสียต่างๆ ที่อยู่ในร่างกายออกทางปัสสาวะ ทำให้เลือดและร่างกายคนเราสะอาด, ของเสียที่ไตต้องขับออกส่วนหนึ่งมาจากการเผาผลาญอาหารในร่างกาย และอีกส่วนหนึ่งมาจากการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ถ้าคนเราไม่มีไต หรือไตวายหยุดทำงาน ของเสียเหล่านี้จะคั่งค้างอยู่ในกระแสเลือดและในร่างกาย ทำให้เลือดและร่างกายสกปรก ในที่สุดอวัยวะต่างๆ ในร่างกายก็จะเป็นพิษ หยุดทำงานและเสียชีวิต

หน้าที่ของไต
นอกจากหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายแล้ว ไตยังทำหน้าที่สำคัญๆ อื่นๆ ได้แก่
  • ควบคุมความดันโลหิต (คนไข้ไตไม่ดีจะมีความดันโลหิตสูง)
  • ผลิตฮอร์โมน Erythropoietin ที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (คนไข้โรคไตวายจะมีเลือดจาง เลือดน้อย )
  • ควมคุมปริมาณน้ำและระดับเกลือแร่ในร่างกาย (คนไข้โรคไตจะมีอาการบวม, เกลือแร่ผิดปกติ, ถ้าเกลือ
    โปแตสเซียมผิดปรกติจะทำให้หัวใจเต้นผิดปรกติ , เป็นอันตรายต่อชีวิตได้)
  • ควบคุมความเป็นกรดด่างในร่างกาย (คนไข้โรคไตวายจะมีสภาพความเป็นกรดสูงมาก ทำให้อวัยะวะต่างๆ ในร่างกายทำงานผิดปรกติและเสียชีวิตได้)
  • ควบคุมการสร้างวิตามินดี แคลเซียมและฟอสฟอรัส (คนไข้โรคไตวาย ขาดวิตามินดีทำให้แคลเซียมต่ำ , กระดูกเปราะบางพรุน)


ภาวะไตวา่ย
ถ้าเกิดภาวะไตวาย, ไตหยุดทำงาน ของเสียจะคั่งค้างในเลือดและในร่างกายมากๆ ผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร, คลื่นไส้, อาเจียน, อ่อนเพลีย, ซีดโลหิตจาง, คันตามตัว, มีจ้ำตามตัว, อาเจียนเป็นเลือด, ท้องเดิน, ความดันโลหิตสูง, หัวใจล้มเหลว, หัวใจเต้นผิดปรกติ, หายใจลำบาก, ไอเป็นเลือด, น้ำท่วมปอด, กระดูกเปราะบางหักง่าย, ปวดกระดูก, ถ้าของเสียค้างในสมองมากๆ จะมีอาการชักและสมองหยุดทำงาน นอกจากนี้ผู้ป่วยจะเป็นหมัน และหมดสมรรถภาพทางเพศ ถ้าเกิดโรคไตวายในเด็ก เด็กจะแคระแกร็นหยุดเจริญเติบโต


สาเหตุของโรคไต
สาเหตุของโรคไตที่พบบ่อยๆ คือ
  • ไตวายจากโรคเบาหวาน
  • ไตวายจากโรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง
  • ไตวายจากโรคเก๊าท์และนิ่วในไต
  • ไตวายจากโรคเนื้อเยื่อไตอักเสบ (Glomerulonephritis), โรค SLE,
โรคไตวายเรื้อรังจากโรคบางโรค สามารถป้องกันได้แต่เนิ่นๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเก๊าท์ โรคนิ่วในไต ถ้าผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาควบคุมให้ดีก็จะลดโอกาสการเป็นโรคไตวายเรื้อรังได้

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไตวายถาวรแล้วไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ปัจจุบันนี้วงการแพทย์เราก็มีวิธีรักษาผู้ป่วยไตวายให้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้


วิธีรักษาโรคไต
วิธีรักษาโรคไตวายเรื้อรังมี 3 วิธี
วิธีแรก คือการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีของเสียคั่งค้าง ผ่านเข้าไปในเครื่องกรองเลือด ซึ่งจะกรองของเสียจากเลือดและนำเลือดที่ถูกกรองจนสะอาดแล้วกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ต้องทำเป็นเวลา 3-5 ชม. และต้องทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หลังฟอกเลือดแล้วผู้ป่วยจะมีเลือดที่สะอาด ร่างกายจะสดชื่นแข็งแรงขึ้น สามารถดำรงชีวิตได้เกือบเหมือนปรกติ แต่ต้องมาฟอกเลือดเป็นประจำตลอดไป
วิธีที่สอง คือวิธีล้างช่องท้องด้วยน้ำยา (CAPD) วิธีนี้ผู้ป่วยจะต้องใส่น้ำยาเข้าไปในช่องท้องตนเอง ครั้งละ 2 ลิตร วันละ 4 ครั้งๆ ละ 4-8 ชม. ทุกๆ วัน ขณะที่น้ำยาอยู่ในช่องท้อง ของเสียต่างๆ ที่เป็นพิษคั่งค้างอยู่ในร่างกายจะซึมจากกระแสเลือดเข้าสู่น้ำยาในช่องท้อง เลือดก็จะสอาด ผู้ป่วยก็จะมีสภาพร่างกายที่สดชื่นแข็งแรงขึ้น แต่ต้องล้างช่องท้องเป็นประจำตลอดไป
วิธีที่สาม คือการเปลี่ยนไตหรือปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation) เป็นวิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังที่ดีที่สุด ไตที่นำมาปลูกใส่ให้กับผู้ป่วยอาจจะมาจากญาติ คือ พ่อแม่ พี่น้อง ลูก หลาน, ลุง, ป้า, น้า, อา หรือในบางกรณีมาจากสามี ภรรยา ที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยผู้บริจาคจะบริจาคไต 1 ข้าง ให้กับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง คนเราปรกติมีไต 2 ข้าง สามารถบริจาคไตให้ญาติพี่น้องได้ 1 ข้าง เหลือเพียง 1 ข้าง ก็สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคนปรกติ, อายุยืนเหมือนคนปรกติ ในกรณีที่ไม่มีญาติพี่น้องบริจาคไตให้ ผู้ป่วยจะต้องรอรับไตบริจาคจากผู้ป่วยอื่นที่เสียชีวิตอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ ซึ่งในประเทศไทย สภากาชาดจะเป็นผู้รับบริจาคและเป็นผู้จัดสรรไตอุบัติเหตุนี้ให้แก่คนไข้ไตวาย

ปัจจุบันแพทย์ไทยเรามีความรู้ความสามารถในการผ่าตัดเปลี่ยนไตประสบผลสำเร็จได้ดีทัดเทียมกับต่างประเทศ ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนไตสำเร็จแล้ว จะสามารถมีชีวิตยืนยาวและดำรงชีวิตด้วยคุณภาพที่ดี ประกอบอาชีพได้ ปัจจุบันมีผู้ป่วยคนไทยที่ได้รับการเปลี่ยนไตไปแล้วหลายพันคน หลายๆ สาขาอาชีพ เช่น ทหาร, ตำรวจ, แพทย์, ทันตแพทย์, วิศวกร, ทนายความ, ดารา, นักการเมือง , นักธุรกิจ ฯลฯ หลังเปลี่ยนไตผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรได้ สามารถทำประโยชน์ต่างๆ ให้สังคมได้เหมือนคนปกติ

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

ต้นอ่อนทานตะวัน แหล่งสารอาหารสุขภาพ

/data/content/26750/cms/e_aegjotuw1259.jpg
          คุณผู้อ่านที่รักสุขภาพ คงเคยได้เห็นผ่านตากันมาบ้างแล้วกับพืชผักหน้าตาแบบนี้ ที่เริ่มมีขายกันทั่วไปตามร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง แถมยังราคาไม่แพงมาก วันนี้ผู้เขียนจึงขอนำสาระดีๆ กับประโยชน์ที่มีใน “ต้นอ่อนทานตะวัน” มาฝากคุณผู้อ่านกันนะคะ มาอ่านกันเลยค่ะ
/data/content/26750/cms/e_dehjklmsv139.jpg
          เมื่อเอ่ยถึง “ต้นทานตะวัน” ใครๆ ก็รู้จักกันดี ว่าเป็นไม้ประดับที่ให้ความสวยงาม อย่างเช่น แถวจังหวัดสระบุรี ลพบุรี เมื่อถึงคราวบานเต็มท้องทุ่ง นักท่องเที่ยวแห่กันไปชมไม่ขาดสายเลยทีเดียว
          นอกจากนี้ ยังนำเมล็ดไปสะกัดเป็นน้ำมันใช้ประกอบอาหารได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่ไม่ค่อยทราบกันนักว่า สามารถนำต้นอ่อนทานตะวันไปประกอบอาหารได้ นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายสูงมาก ยากที่จะหาพืชผักสวนครัวใดมาเทียบได้ 
ข้อมูลจากเว็บไซต์ www.livestrong.com ประเทศแคนาดา ได้กล่าวถึงสารอาหารในต้นอ่อนทานตะวันไว้ว่า ต้นอ่อนทานตะวันเป็นแหล่งไขมันชนิดที่ดีแก่ร่างกาย ใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย เป็นแหล่งโปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม และจากข้อมูลการวิจัยของ Medical Center, University of Maryland สหรัฐ เมื่อปี 2553 ระบุว่า ต้นอ่อนทานตะวัน (Sunflower Sprouts) มีกรด Linoleic ในปริมาณมาก ช่วยในการบำรุงสมองและกระดูกให้แข็งแรง ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินบี วิตามินอี และโฟเลต ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีด้วย 
/data/content/26750/cms/e_bdhlorsx2468.jpg
          นอกจากนี้ ข้อมูลการวิจัยของ International Sprout Growers Association เมื่อปี 2554 ระบุว่า  ต้นอ่อนทานตะวันมีวิตามิน B1, B6 โอเมก้า 3, 6, 9 ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และยังมีธาตุเหล็กสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ อีกด้วย
          ต้นอ่อนทานตะวันมีโปรตีนมากกว่าผักกาดเขียวถึง 2 เท่า วิตามิน A, B2, E, D, K และยังมีวิตามิน A สูงกว่าน้ำมันเมล็ดข้าวโพดและเมล็ดถั่วเหลืองกว่า 3 เท่าเลยทีเดียว แต่เมื่อนำเมล็ดทานตะวันมาเพาะเป็นต้นอ่อนทานตะวัน คุณค่าทางอาหารจะเพิ่มมากขึ้น เช่น มีโปรตีนสูงกว่าถั่วเหลือง มีวิตามินA สูง ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และชะลอความแก่   
/data/content/26750/cms/e_abmoqrvwxyz5.jpg          อีกทั้งกระบวนการเพาะปลูกของต้นอ่อนทานตะวันนั้นแสนง่าย และไม่ต้องพึ่งสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงใดๆ จึงทำให้เรามั่นใจว่าจะปลอดภัยจากสารเคมีตกค้างจากการเพาะปลูกกันอีกด้วยนะคะ และหากใครสนใจจะปลูกเองเพื่อรับประทาน ก็มีเมล็ดทานตะวันสำหรับการเพาะปลูกเองไว้ขาย พร้อมทั้งอธิบายวิธีการเพาะที่แสนจะง่าย และใช้เวลาเพียง 7-11 วัน ก็สามารถรับประทานได้แล้วล่ะค่ะ
          มาดูกันต่อค่ะว่า เจ้าต้นอ่อนทานตะวันสามารถนำไปปรุงอาหารอะไรได้บ้าง ซึ่งในปัจจุบันก็มีสูตรต่างๆ มากมายที่นำต้นอ่อนทานตะวันมาปรุงเป็นอาหาร เช่น ต้นอ่อนทานตะวันผัดไฟแดง ผัดกับกุ้งสดต้มจืดหรือจะทานเป็นผักใส่ลงในสลัดใส่ในไข่เจียวลวกจิ้มน้ำพริก และใช้แทนถั่วงอกใส่ลงในก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น
          สรุปว่า ต้นอ่อนทานตะวันสดนั้น ปลอดสารพิษ ให้โปรตีนสูง บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง เห็นประโยชน์มากมานขนาดนี้ เห็นทีพวกเราคนรักสุขภาพจะต้องหาเจ้าต้นอ่อนทานตะวันมาปรุงเป็นอาหารเพื่อเพิ่มสารอาหารดีๆ มีประโยชน์ให้แก่ร่างกายกันบ้างแล้วค่ะ

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

วิธีขจัดความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียที่ได้ผล

เพียงแค่เปลี่ยนนิสัยในชีวิตประจำวันของคุณเล็กน้อยก็จะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีแรงทำกิจกรรมต่างๆได้มากขึ้นตลอดทั้งอาทิตย์ 
วิธีขจัดความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียที่ได้ผล

  1. นอนหลับพักผ่อนให้ได้เจ็ดถึงแปดชั่วโมง
  2. คาเฟอีนมักจะตกค้างอยู่ในร่างกายได้นานเกือบค่อนวัน ดังนั้นคุณควรหลีกเหลี่ยงการดื่มกาแฟ ชา หรือน้ำอัดลมในช่วงบ่าย
  3. ดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง เพราะมีผลต่อช่วงของการนอนหลับลึก (ช่วงเวลาที่คุณหลับจนฝัน) การนอนหลับในช่วงนี้จะช่วยให้สมองคุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เปรียบเหมือนกับการชาร์จแบตเตอรี่ เพื่อเริ่มการทำงานในวันถัดไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยาวนานตลอดวัน และยังส่งผลต่ออารมณ์ของคุณอีกด้วย
  4. การอาบน้ำในช่วงเวลาเย็นถือเป็นการผ่อนคลายที่ดี ให้อาบน้ำร้อนสลับเย็นจะช่วยให้คุณสบายกายและสบายใจ แถมยังช่วย ให้คุณนอนหลับพักผ่อนได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้การดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอนก็ช่วยได้เช่นเดียวกัน
  5. จัดที่นอนให้สบาย คุณควรเปลี่ยนที่นอนเก่าและเสื่อมสภาพแล้ว และถ้าคุณนอนตะแคงข้างแล้วรู้สึกว่าลำตัวถูกบิดไม่สบายตัว ให้คุณนำหมอนมารองไว้เหนือเข่าก็จะช่วยให้คุณนอนได้สบายขึ้น

เติมพลังให้สดชื่น
  1. การออกกำลังกายช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิท และยังเพิ่มการไหลเวียนภายในได้อีกด้วย โดยการส่งก๊าชออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้มากขึ้นทำให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใสมีพลังเต็มเปี่ยม
  2. ทานอาหารว่างพวกผลไม้แห้ง ถั่ว เบอร์รี่ ในระหว่างวัน จะช่วยคุณลดอาการหิวโหย และป้องกันไม่ให้เผลอทานอาหารในปริมาณมากจนเกินไป
  3. ระดับปริมาณของธาตุเหล็กในร่างกายมีไม่เพียงพอ ทำให้คุณมีปัญหาเรื่องสุขภาพและมีอาการอ่อนเพลียได้ ควรทานอาหารที่มีปริมาณของธาตุเหล็กสูงพร้อมกับวิตามินซีเสริมไปด้วยจะทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มจำพวกกาแฟ ชา ไวน์แดง และธัญพืช ร่วมกับอาหารที่มีธาตุเหล็กในมื้อเดียวกันเพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุเหล็กลดน้อยลง
  4. น้ำจะเป็นตัวช่วยลำเลียงสารอาหารที่สำคัญไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายและยังช่วยดูแลรักษาร่างกายให้มีสุขภาพที่ดีอีกด้วย การดื่มน้ำผลไม้ยังช่วยเพิ่มปริมาณน้ำภายในร่างกายและเติมความสดชื่นได้อีกด้วย
เคล็ดลับ
หาเวลาสร้างความผ่อนคลายให้กับตัวคุณเอง ให้คุณเนรมิตช่วงเวลาอาบน้ำให้เป็นเวลา ‘สปาส่วนตัว’ โดยการนอนแช่ตัวให้สบายและเติมความสดชื่นได้ทั้งร่างกายและจิตใจ
แบ่งปันเคล็ด (ไม่) ลับ วิธีกินสู้ความเหนื่อยล้า
การทานอาหารจำพวกโปรตีนช่วยลดการผลิตสารเซโรโทนินที่ช่วยให้หลับสบายภายในร่างกาย ดังนั้นคุณควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูงในมื้อกลางวัน และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณของแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตสูงในช่วงมื้อเย็น

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

สาเหตุของการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

สาเหตุของการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ


 สาเหตุของการปวดเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ
อาการปวดเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ เกิดได้จาก
1. กล้ามเนื้อที่ต้องทำงานหนักและถูกเกร็งค้างอยู่นานๆ โดยจะพบอยู่บ่อยๆ เช่น การเกร็ง ในการสะพายกระเป๋าทุกครั้งเพื่อไม่ให้ประเป๋าหลุดลงจากบ่า เลยต้องมีการเกร็งกล้ามเนื้อบ่าอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่ได้ใช้แรงจากกล้ามเนื้อมากนักแต่เป็นการเกร็งค้าง จึงมีการบีบกดของหลอดเลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ ทำให้การนำออกซิเจนมาช่วยในการเผาผลาญสารอาหารทำได้ไม่เต็มที่ เมื่อร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการนี้ จึงทำให้เกิดการคั่งของกรดแล็กติก ถ้าไม่ได้ระบายออกด้วยการไหลเวียนของเลือด จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยล้าได้ กล้ามเนื้อที่มีอาการปวดล้าได้ง่ายได้แก่ กล้ามเนื้อ บริเวณบ่า คอด้านหลัง และหลังส่วนล่าง

2. มีภาวะหดสั้นของกล้ามเนื้อ ภาวะเช่นนี้มักจะพบได่ที่กล้ามบริเวณหน้าอก กล้ามเนื้อคอด้านหน้า กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้องอสะโพก การที่เราใช้มือทำงานโดยยื่นออกไปทางด้านหน้าโดยทั่วไปจะทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกอยู่ในภาวะที่หดสั้นตลอดเวลาจนความยาวของกล้ามเนื้อลดลง เมื่อถึงเวลาที่จะต้องใช้งานกล้ามเนื้อส่วนนั้น ในลักษณะที่ยืดยาวออกจะทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ การนั่งนานจะทำให้เกิดการหดสั้นของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้องอสะโพกที่อยู่ทางด้านหน้าของลำตัวได้

3. การออกแรงอย่างหนักของกล้ามเนื้อ จะทำให้มีการเกิดการคั่งของกรดแล็กติก ทำให้กล้ามเนื้อล้าและปวด อาการปวดจะไปกระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกร็งแข็งโดยอัตโนมัติ แต่หากไม่ได้มีการผ่อนคลายอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อ ก็มักจะทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังได้ อาการเช่นนี้มักจะพบได้ในกล้ามเนื้อทุกมัดที่ต้องออกแรงอย่างหนัก

วิธีป้องกันการเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อ
ควรอยู่ในท่าทางที่เหมาะสม เช่น ไม่ควรก้มคอหรือหลัง มากเกินไป ไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เช่น นั่งนานเกินกว่า 2 ชั่วโมง ควรจะปรับกิจกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้อต้องเกร็งค้างตลอดเวลา เช่น ไม่ควรสะพายกระเป๋าที่หนักเกินไป ให้ลดน้ำหนักลงหรือสะพายสลับข้างกันบ้าง หรือใช้มือถือไว้บ้าง เพื่อเปลี่ยนกลุ่มการใช้งานของกล้ามเนื้อ หลังจากปรับสภาพงานหรือเปลี่ยนวิธีการทำงานแล้ว การออกกำลังด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อที่ใช้งานจะช่วยลดการตึงตัว เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและความยืดหยุ่น โอกาสที่ความปวดเมื่อยล้าและบาด-เจ็บจากการทำงานจะลดลง

ปวดกล้ามเนื้อป้องกันได้ด้วยการยืดเหยียด
อาการปวดเมื่อยและอ่อนล้าของกล้ามเนื้อมักพบได้บ่อย ในกลุ่มคนที่ทำงานออฟฟิศและผู้ใช้แรงงาน แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีแก้ไขอาการปวดเมื่อยและล้าของกล้ามเนื้ออย่างเหมาะสม อาจทำให้กลายเป็นอาการปวดเรื้อรังของกล้ามเนื้อ (myofascial pain) หากเกิดอาการปวดเมื่อยล้าการยืดเหยียดกล้ามเนื้อก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่จะช่วยป้องกันและรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อได้

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด

    ผลไม้
     
    สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด 

              "ผลไม้ช่วยดูแลผิวพรรณ" ประโยชน์ของผลไม้อาจไม่ใช่เพียงบำรุงผิวพรรณ แต่ยังช่วยบำรุงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วอาหารหมวดผลไม้ก็สามารถให้สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก รวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับอาหารในหมวดข้าว แป้ง และไขมัน สำหรับ Fruitful Tips ฉบับนี้ขอเน้นผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้สาว ๆ ดูเปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก

    "ฮีโมโกลบิน" มาจากการรวมตัวกันของธาตุเหล็ก และโปรตีน

               ฮีม คือ องค์ประกอบของธาตุเหล็ก ทำหน้าที่ดักจับออกซิเจนจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
               โกลบิน คือ โปรตีน ทำหน้าที่ผลิตเลือดจากสายพันธุกรรมของเรา

    ธาตุเหล็กสำคัญต่อเลือด

              เลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเราขึ้นอยู่กับปริมาณฮีโมโกลบิน ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์เม็ดเลือดแดง สาเหตุที่เลือดเป็นสีแดงก็เพราะในฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มีสารประกอบสีแดงอยู่เป็นส่วนใหญ่ และมีองค์ประกอบของธาตุเหล็กอยู่ประมาณร้อยละ 65-67 

              ดังนั้นจึงถือได้ว่าร่างกายของเราสามารถสร้างธาตุเหล็กขึ้นมาเองตามธรรมชาติ และจะถูกร่างกายนำไปสร้างเป็นโปรตีนเพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราควรมีประมาณฮีโมโกลบินประมาณ 20-30 ล้านล้านเซลล์จึงจะถือว่าอยู่ในระดับปกติ ดังนั้นหากจะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตฮีโมโกลบินก็ควรบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมนั่นคือประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน

    อาการเมื่อปริมาณฮีโมโกลบินในร่างกายต่ำ

    สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีคือ

               กรณีไม่ร้ายแรง อาการกรณีนี้สามารถดีขึ้นจนหายไปเอง หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หรือบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเข้าสู่ร่างกาย เช่น เหนื่อยล้า หายใจถี่ ใจสั่น ปวดศีรษะ มึนงง เป็นลม มือเท้าเย็นเจ็บบริเวณหน้าอก ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหาร และสีผิวเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด จนม่วงคล้ำดูไม่มีน้ำมีนวล

               กรณีเป็นโรคทางพันธุกรรม กรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากมีระยะการเจริญพันธุ์ของโรคและอาการแฝง เช่น โรคธาลัสซีเมีย (โรคเลือดจาง) อาจมีอาการแฝงคือ อะเนเมีย (Anemia) หรือภาวะร่างกายสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติ เป็นต้น

    5 ผลไม้ที่ดีต่อระบบการไหลเวียนโลหิต


    ทับทิม


     1.ทับทิม 

              ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

    แก้วมังกร

     2.แก้วมังกร

              อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

    สตรอเบอร์รี่

     3.สตรอว์เบอร์รี่

              ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

    กล้วย

     4.กล้วย

              ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี


    แตงโม


     5.แตงโม

              จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

5 สมุนไพรไทย...พิชิตความดันโลหิตสูง

  โดย...รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์
        ปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมากถึงพันล้านคน ซึ่งสองในสามของจำนวนนี้อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 คน ใน 3 คนมีภาวะความดันโลหิตสูงและประชากรวัยผู้ใหญ่ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็พบ มี 1 คน ใน 3 คน ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงรวมถึงคนไทยที่อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปเป็นโรคความดันโลหิตสูงถึงร้อยละ 22 และได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2568 ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วทั้งโลกจะป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 1.56 พันล้านคน ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 
      
       ในแต่ละปีประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคนี้ถึงเกือบ 8 ล้านคน ส่วนประชากรในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้เสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 1.5 ล้านคน ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงนี้ ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหัวใจอีกด้วย
      
       ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้แนะนำสมุนไพรไทยใกล้ตัวไว้ในหนังสือบันทึกของแผ่นดินหลายเล่ม ซึ่งที่มีผลช่วยลดอาการความดันโลหิตสูง วันนี้จึงได้รวบรวมสมุนไพรที่น่าสนใจ 6 ชนิด มานำเสนอดังนี้
5 สมุนไพรไทย...พิชิตความดันโลหิตสูง
        “กระเจี๊ยบแดง” ความโดดเด่นของกระเจี๊ยบ คือ ไม่ว่ากระเจี๊ยบแดงจะงอกงาม ณ ประเทศไหน คนในประเทศนั้นจะมีการใช้กระเจี๊ยบแดงที่เหมือนกัน คือ ใช้เป็นยาลดความดันโลหิต เป็นยาขับปัสสาวะ และยังเชื่อว่ากระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณในการบำรุงไต และหัวใจ
      
       จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ พบว่า กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ขับยูริค รวมทั้งลดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะภายหลังการผ่าตัดในไตได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการดื่มชากระเจี๊ยบวันละ 2 - 3 ครั้ง สามารถลดความดันโลหิต diastolic ลงตั้งแต่ร้อยละ 7.2 ถึง 13 เลยทีเดียว ดังนั้น ชากระเจี๊ยบจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
      
       นักวิทยาศาสตร์วิจัยพบว่า การที่กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิตได้ เนื่องมาจากสาร “แอนโธไซยานิน” (anthocyanins) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดนั่นเอง
      
       “คึ่นไฉ่” ชาวเอเชีย นิยมใช้คึ่นไฉ่เป็นยาลดความดันโลหิตมากว่า 2000 ปีแล้ว ชาวจีน ชาวเวียดนามแนะนำให้รับประทานคึ่นไฉ่วันละ 4 ต้น เพื่อรักษาความดันให้เป็นปกติ แพทย์อายุรเวทในอินเดียจะสั่งจ่ายเมล็ดคึ่นไฉ่เพื่อขับปัสสาวะสำหรับผู้ป่วยที่บวมน้ำ
      
       ปัจจุบันมีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า คึ่นไฉ่มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ลดบวม คุมกำเนิด ลดจำนวนอสุจิ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ยับบั้งเนื้องอก ต้านการอักเสบ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว ขับระดู เป็นต้น
      
       “บัวบก” เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากบัวบกทำให้การไหลเวียนของเลือดทั้งในหลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยมีการไหลเวียนดีขึ้น มีคุณสมบัติขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี จึงสามารถลดความดันโลหิตได้
      
       ทั้งนี้ มีรายงานการวิจัยที่สนับสนุนว่า สารสกัดเอทานอลจากต้นบัวบก มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูข่าวเมื่อให้ทางหลอดเลือดดำ น้ำคั้นจากต้น และสารสกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูขาวและสุนัข บัวบกยังทำให้หลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อคนที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดและคนที่เป็นริดสีดวงทวาร นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อระบบประสาท ทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น มีฤทธิ์คลายความเครียด ซึ่งฤทธิ์คลายความเครียดนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงด้วย
5 สมุนไพรไทย...พิชิตความดันโลหิตสูง
        “คาวตอง หรือพลูคาว” หมอยาทั่วไป ทั้งอีสาน ภาคเหนือ หรือไทยใหญ่มีความเชื่อว่าการกินคาวตองสดๆ กับน้ำพริก ลู่ ลาบ หรือใช้รากต้มกับปลาไหล รากตำเป็นน้ำพริกกินจะเป็นยารักษาโรคได้ เช่น ช่วยรักษาความดันโลหิตสูง ริดสีดวงทวาร แผลในกะเพาะอาหาร
      
       พลูคาว นับเป็นผักสมุนไพรที่มีการศึกษาวิจัยและจดสิทธิบัตรมากตัวหนึ่ง ซึ่งจากการวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ต่างพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพลูคาวเช่นเดียวกับการใช้ประโยชน์ของหมอยาพื้นบ้าน ในประเทศเกาหลีก็ได้มีการใช้พลูคาวเป็นยาลดความดันโลหิตสูง ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเนื่องจากมีการสะสมของไขมัน (atherosclerosis) และมะเร็งอีกด้วย
      
       “มะรุม” นับเป็นอาหารสุขภาพที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุด โดยจากประสบการณ์การใช้ของชาวบ้านทั้งในไทยและต่างประเทศ และการศึกษาทางเภสัชวิทยา พบว่า ส่วนของใบและรากของมะรุม มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตได้ รวมทั้งพบสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดความดันโลหิต เช่น niazinin A, niazinin B, niazimicin และ niaziminin A and B
      
       สำหรับตำรับยาแก้ความดันโลหิตสูง ซี่งต้องกินอย่างต่อเนื่อง เช่น
      
       ตำรับที่ 1 นำรากมาต้มกินเป็นซุป 
      
       ตำรับที่ 2 นำยอดมาต้มกิน 
      
       ตำรับที่ 3 นำยอดอุ๊ปใส่เนื้อวัวกิน ซึ่งต้องเป็นเนื้อวัวเท่านั้น 
      
       ตำรับที่ 4 นำรากมะรุมต้มกับรากย่านางกิน 
      
       ตำรับที่ 5 ใช้ยอดมะรุมสด โดยจะเป็นยอดอ่อนหรือยอดแก่ก็ได้ นำมาโขลกคั้นเอาน้ำ (ถ้าไม่มีน้ำให้เติมน้ำลงไปพอให้เหลวข้น) ผสมน้ำผึ้งพอหวาน กินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว ยานี้จะช่วยลดความดัน เมื่อหยุดกินยาความดันโลหิตก็เพิ่มขึ้นมาอีก จึงต้องกินอย่างต่อเนื่อง
5 สมุนไพรไทย...พิชิตความดันโลหิตสูง

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

11 สุดยอดอาหารบำรุงสมอง..และช่วยเพิ่มความจำ

11 สุดยอดอาหารบำรุงสมอง..และช่วยเพิ่มความจำ

 
..1. ปลา จริงอย่างที่เขาว่ากันว่ากินปลาแล้วจะฉลาด โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก.. เช่น ปลา ทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแฮริ่ง เป็นต้น... พวกนี้เป็นอาหารที่ประโยชน์สูงสุดต่อสมองมาก ..แต่ถ้าหาปลาทะเลมารับประทานลำบาก หรือไม่มีเวลาเตรียมอาหาร .. ก็สามารถกินอาหารเสริมประเภทน้ำมันปลาแทนได้

...2. ผลไม้รสเปรี้ยวตระกูลเบอร์รี ได้แก่ บลูเบอรี่ สตรอว์เบอรี เชอรี จะช่วยเสริมสุขภาพสมอง... ระบบหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงสมอง ช่วยลดความดันโลหิตที่สูงให้สมดุล มีวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเพิ่มความสามารถในการคิดและระดับไอคิวได้อีด้วย ทั้งยังป้องกันการสูญเสียความจำระยะสั้น ช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์ประสาทในฮิปโปแคมปัสที่ทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อความ ทรงจำ โดยเฉพาะบลูเบอร์รีสดดีต่อความจำระยะยาวมากที่สุด เหมาะแก่การรับประทานเป็นอาหารว่าง เพราะไม่ทำให้อ้วน และยังได้วิตามินซีเพิ่มอีกด้วย


...3. ผักโขม ช่วย ลดอาการความจำเสื่อมโดยเฉพาะในผู้หญิง.. มีการวิจัยพบว่าหญิงวัยกลางคนที่รับประทานผักโขมร่วมกับผักใบเขียวชนิดอื่นๆ เป็นประจำ ...ช่วยลดอาการความจำเสื่อมไปได้ถึง 2 ปี ผัก โขมมีเอนไซม์ที่ดีต่อความแข็งแกร่งของปลายเซลล์ประสาท และเสริมความแข็งแรงตัวรับส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ทั้งยังมีกรดโฟลิกสูงที่ดีต่อการจำ ช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย นักประสาทวิทยาแนะนำให้กินผักโขมอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะผักโขมที่ปลูกแบบออร์แกนิก ซึ้งไร้สารพิษตกค้าง

...4. ไข่ เป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยพัฒนาระบบการทำงานของสมอง โดยล่าสุดนี้พบว่าสาร "โคลิน ” ในไข่ไก่จะทำหน้าที่สำคัญต่อการพัฒนาการทำงานของสมอง และความจำ โดยมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ในสหรัฐอเมริกา ค้นพบว่าสมองของทารกที่มารดารับอาหารที่มีโคลินนั้นจะมีพื้นที่การจดจำ.. และควาสามารถในการจำมากกว่า... ไข่ไก่สามารถให้พลังงานนานนับหลายชั่วโมง... ไม่ทำให้หิวบ่อยๆ และไม่ต้องกลัวโคเลสเตอรอลสูงอีกด้วย 
...5. อาหารแบบเมดิเตอร์ริเนียน ที่ เน้นน้ำมันมะกอก สุดยอดน้ำมันที่สกัดจากพืชโอเมก้า 3 ที่ดีต่อสมองในปริมาณสูง เป็นส่วนประกอบสำคัญ ส่วนผสมอื่นๆ ของอาหารปะเภทนี้จะเน้นผักและผลไม้ โดยเฉาะมะเขือเทศ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสมอง... และลดอาการสมองเสื่อมได้ คนที่บริโภคแบบเมดิเตอร์ริเนียนนี้เป็นประจำจะช่วยลดอัตราการเป็นโรคความจำ เสื่อม... หรือหลงลืมได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์

...6. แครอท หาก ต้องการกระตุ้นให้สมองทำงานอย่างสดชื่นแบบเร่งด่วน ...ควรรับประทานผลไม้สด โดยเฉพาะแครอทสด โดยรับประทานอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยกระตุ้นให้มีความจำที่ดีได้
...7. พืชตระกูลถั่ว 
ไม่ ว่าจะเป็น ฮาเซลนัท อัลมอนด์.. ถั่วลิสง แมคคาเมีย และวอลนัท ที่ถือได้ว่าเป็นราชาแห่งถั่ว ล้วนเป็นแหล่งรวมโปรตีน.. มีไฟเบอร์สูง และมีไขมันดีมาก เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ช่วยทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉง.. ขณะที่โปรตีนและไขมันช่วยให้ร่างกายสมดุล... สงบ ผ่อนคลาย อีกทั้งยังมีวิตามินอีที่สำคัญต่อกระบวนการคิดและจำ

...8. อาหารประเภทธัญพืช 
เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดงา... เมล็ดแฟลกซ์ ที่มีโปรตีนสูง มีไขมันดี และวิตามินเอสูง ขณะเดียวกันก็มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มสารอาหารกระตุ้นสมองอย่าง... แมกนีเซียม ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดี เต็มไปด้วยเส้นใยอาหาร... มีปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม รวมทั้งยังมีโอเมก้าสูง และจะดีมากหากรับประทานเป็นอาหารเช้า เพื่อเพิ่มพลังในวันใหม่

...9. แอปเปิล 
การดื่มน้ำแอปเปิลวันละประมาณ 2 แก้ว ...หรือรับประทานแอปเปิลวันละ 2-3 ลูก มีส่วนช่วยเพิ่มการสร้างสื่อประสาทใบสมองที่มีชื่อว่า " อะเซทิลโคลีน ” ... ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถเรียนรู้ในการจำ และการเรียนรู้ ...และยังเพิ่มประสิทธิภาพความจำของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้

...10. ช็อกโกแลต ช็อกโกแลต ช่วยกระตุ้นสมอง มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยระบบหมุนเวียนเลือด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้ ที่สำคัญช่วยพัฒนาความจำได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังที่ผลิตสารเอ็นดอร์ฟิน และเซโทโรนิน ...ที่เป็นสารแห่งความสุขในสมอง ทำให้อารมณ์ดี โดยพกแท่งเล็กๆไว้ในกระเป๋าไว้กินเวลาว่างเมื่อต้องการความสดชื่นจะช่วยผ่อน คลายสมองได้

...11. แปะก๊วย เป็น พืชสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคสมองเสื่อม ...โรคซึมเศร้า อาการหลงๆลืมๆจึงนิยมแนะนำให้ใช้เพื่อปรับปรุงระบบไหลเวียนโลหิตในสมอง เพราะเมื่อสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ย่อมเสื่อมสมรรถภาพและฝ่อไปในที่สุด ส่งผลต่อการกระทำงานและประสิทธิภาพของสมอง.. และยังมีการสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร.. เพื่อบำรุงสมองอีกด้วย

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

8 วิธี เพื่อสุขภาพผิวเปล่งปลั่ง

เคล็ดลับผิวสวย



8 วิธี เพื่อสุขภาพผิวเปล่งปลั่ง (emaginfo)

          ใคร ๆ ก็ปรารถนาที่จะมีสุขภาพผิวที่ดี ไม่ว่าหญิงสาวหรือชายหนุ่ม แม้แต่วัยสูงอายุ ก็ยังอยากจะมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง มีน้ำ มีนวล ซึ่งจะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ จึงจะมีผิวสวยใสและเนียนนุ่มน่าสัมผัส

          แต่แดดเมืองไทย ยิ่งนับวันจะร้อนแรงมากขึ้นทุกขณะ แม้แต่จะย่างเท้าออกจากบ้าน ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนของแสงแดด ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารป้องกันยูวี  แต่กระนั้น สาว ๆ หลายคนก็ยังบ่นกันถึงริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากการเผชิญหน้ากับแสงแดด แม้ว่าจะมีตัวช่วยในการป้องกันแสงแดดไว้แล้วก็ตาม

          วันนี้เราลองมาดูวิธีรักษาสุขภาพผิว ทั้งผิวหน้าและผิวกาย ทำอย่างไรจึงไม่หมองคล้ำ และมีวิธีป้องกันอย่างไรที่จะทำให้ผิวของเรายังคงเปล่งปลั่งสดชื่นอยู่ โดยไม่ให้ริ้วรอยมากล้ำกลาย แม้จะผ่านวัยไปจนถึงเลข 4 และเลข 5 แล้วก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ผิวที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ค่ะ

     1. การเลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และต้องมีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ดังนั้น เราจึงควรเลือกรับประทานผลไม้สดที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบอรี ทับทิม ส้มโอ อโวคาโด ฯลฯ

     2. หลีกเลี่ยงความเครียดต่าง ๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผิวพรรณของเราเกิดริ้วรอย จากการขมวดคิ้ว มิหนำซ้ำยังเกิดรอยตีนกา รอยยับ รอยย่นบนใบหน้าตามมาเป็นขบวน ซึ่งริ้วรอยต่าง ๆ เกิดจากสาเหตุทางอ้อมที่มาจากความเครียด ทำให้ระดับฮอร์โมนลดลง ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด

     3. ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่มากพอ เพราะร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% ในแต่ละวันเราจะสูญเสียน้ำผ่านการปัสสาวะ และทางเหงื่อ ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ อย่างน้อย 2 ลิตร/วัน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะช่วยรักษาความชุ่มชื่นของผิวหนังได้เป็นอย่างดี

เคล็ดลับผิวสวย

     4. งดการใช้ยาและสารเคมีต่าง ๆ รวมทั้งการสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อีกด้วย สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อสุขภาพผิวของเราโดยตรง จะทำให้ผิวพรรณเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันสมควร

     5. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่จะสร้างริ้วรอยบนผิวหน้า อย่างเช่น บางคนชอบหัวเราะตาหยี ก็จะมีผลต่อสุขภาพผิว ทำให้เกิดรอยตีนกาได้ หรือพฤติกรรมการนอน หลาย ๆ คนชอบนอนทับหน้าข้างใดข้างหนึ่ง หรือนอนคว่ำ ทำให้ผิวหน้าส่วนที่ถูกกดทับเกิดริ้วรอยฝังลึกโดยง่าย แม้แต่การตากแดดเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่มีสิ่งป้องกัน ก็จะทำให้ผิวหน้า และผิวส่วนที่ถูกแดด เกิดเป็นฝ้า กระ และริ้วรอยต่าง ๆ ตามมา เนื่องจากแสงแดดจะทำลายความชุ่มชื่นของผิวหนัง จนเกิดผิวเสื่อมสภาพ ขาดความยืดหยุ่น และกลายเป็นผิวหมองคล้ำ ไม่น่าดู

     6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว สุขภาพผิวยังได้รับการฟื้นฟูไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย การออกกำลังกายนี้ ไม่จำเป็นจะต้องไปออกกำลังกายที่สถานฟิตเนส แต่เป็นการออกกำลังกายเบา ๆ ที่บ้าน ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

     7. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยทั่วไป สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดี มักจะเข้านอนในช่วงเวลาประมาณสี่ทุ่ม เพราะเป็นเวลาที่ร่างกายต้องการการพักผ่อน หลังจากที่ใช้พลังงานไปตลอดทั้งวันแล้ว

     8. การอาบน้ำให้สะอาดก่อนเข้านอน จะช่วยให้ร่างกายเกิดความสบาย รวมไปถึงจิตใจที่สดชื่น จะทำให้นอนหลับได้เป็นเวลายาวนานติดต่อกันตลอดทั้งคืน ตื่นขึ้นมาทุกเช้า ก็จะพบว่าเรามีใบหน้าที่เปล่งปลั่ง สดใส จากการที่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนั่นเอง

เคล็ดลับผิวสวย

          การดูแลสุขภาพผิว ยังรวมถึง การนวด เพื่อคลายความตึงเครียด นอกจากจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ให้บรรเทาจากอาการเมื่อยล้า ตึงตามแขนขาแล้ว ยังเป็นการช่วยให้โลหิตในร่างกายของเราไหลเวียนดีขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณของเรามีเลือดฝาด มีน้ำ มีนวล และด้วยเหตุที่ว่าเมืองไทยของเรา เป็นเมืองที่มีแสงแดดแผดเผา ร้อนแรงแทบจะตลอดทั้งวัน ทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้าน ควรทาครีมกันแดดที่ป้องกันยูวี และควรจะมีร่มที่ป้องกันยูวี ปกป้องแสงแดดไม่ให้มากระทบผิวโดยตรงอีกด้วย 

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

เคล็ดวิธี เลือกอาหารชะลอวัย

เคล็ดวิธี เลือกอาหารชะลอวัย
ชีวิตที่เร่งรีบทำให้คุณเลือกรับประทานอาหารเพียงเพื่ออิ่ม มากกว่าเพื่อสุขภาพ ไม่ค่อยคำนึงถึงผลเสียที่มีต่อสุขภาพมากนัก ลองปรับเปลี่ยนวิธีการเลือกรับประทานอาหาร แล้วลองสังเกตตัวเอง คุณอาจมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น เช่น รับประทานผักผลไม้มากขึ้น หน้าตาผิวพรรณก็จะดูสดใสขึ้น งดรับประทานเนื้อสัตว์หรือรับประทานให้น้อยลง เพื่อกระเพาะอาหารจะได้ไม่ทำงานหนัก ภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง ก็อาจจะดีขึ้น
เลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ๆ รับประทานอาหารจำพวกแป้งให้น้อยลง คุณอาจมีรูปร่างที่ดีขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้ พญ.กฤดากร เกษรคำ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านชะลอวัย จาก AddLife Anti-Aging Center ชั้น 2 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) ได้แนะนำเคล็ดลับในการเลือกรับประทานอาหารเพื่อช่วยให้คุณชะลอวัยและห่างไกลจากโรค เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหารดังนี้
1. ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ เพื่อสุขอนามัยที่ดี และเมื่อทำเสร็จแล้วควรรับประทานทันที เพราะอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อนแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นลง เชื้อโรคที่หลงเหลือ หรือปนเปื้อนจะสามารถเจริญเติบโตในอาหารได้อีก ยิ่งทิ้งไว้นานเท่าใด ก็มีโอกาสเสี่ยงที่เชื้อโรคจะเจริญเติบโตได้มากขึ้น เสื่ยงลำไส้อักเสบเรื้อรังดูดชึมอาหารน้อยลง ภูมิต้านทานอ่อนแอ ร่างกายอ่อนเพลีย
2. ไม่ควรรับประทานทานอาหารรสจัด ทั้ง เผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด เพราะจะทำให้กระเพาะทำงานหนัก โทษของกินอาหารรสจัด เช่น เกิดกรดในกระเพาะอาหาร ท้องอืด อาจทำให้อ้วน เนื่องจากอาหารรสจัดทำให้เรามีความอยากรับประทานอาหารมากขึ้น เสื่ยงกับโรคไต เพราะอาหารเค็มจัดมักมีส่วนผสมของเกลือ ผงชูรส ซึ่งมีโซเดียมอยู่ในปริมาณมากและเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง อาหารรสหวานจัดอาจทำให้เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และมีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ หันมาเลือกกินอาหารรสจืด เริ่มจากการค่อย ๆ ลดการปรุงรส ลดการกินน้ำจิ้ม
3. ไม่ควรรับประทานอาหารประเภทแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตมากจนเกินไป เนื่องจากร่างกายจะเก็บแป้งที่ร่างกายเผาผลาญไม่หมดเป็นไขมันสะสมตามตัว เกิดผลเสียต่อสุขภาพ คาร์โบไฮเดรตได้จากอาหารประเภท ข้าว แป้ง น้ำตาล ขนมปัง ธัญพืช เส้นก๋วยเตี๋ยว ผลไม้ น้ำหวาน และน้ำผึ้ง เป็นต้น
- กลุ่มข้าวหรือแป้ง ควรได้รับวันละ 8 - 12 ทัพพี อาหารกลุ่มนี้รวมถึงข้าว ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมจีน ขนมปัง และขนมทั้งหลายที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบ เช่น ขนมเค้ก ซาลาเปา บัวลอย ซ่าหริ่ม อะไร ๆ ที่มีแป้งเป็นส่วนผสมนับรวมอยู่ในกลุ่มนี้ทั้งหมด
- กลุ่มผัก แหล่งของใยอาหาร ผู้ใหญ่ควรกินผักวันละ 6 ทัพพี เด็ก ๆ วันละ 4 ทัพพี (1 ทัพพีประมาณ 3-4 ช้อนกินข้าว)
- กลุ่มผลไม้ ควรได้ผลไม้วันละ 3 - 5 ส่วน แต่ละ 1 ส่วน ของผลไม้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ เช่น กล้วยน้ำว้า 1 ผล ส้มเขียวหวาน 1 ผลใหญ่ ฝรั่ง 1/2 ผล เงาะ 4 ผล ถ้าเป็นผลไม้ผลใหญ่ เช่น มะละกอ สับปะรด แตงโม ประมาณ 6 - 8 คำเท่ากับ 1 ส่วน ปริมาณผลไม้มากน้อยขึ้นอยู่กับความต้องการพลังงาน
เคล็ดวิธีเลือกอาหารชะลอวัย© กรุงเทพธุรกิจ เคล็ดวิธีเลือกอาหารชะลอวัย
4. ข้อควรรู้เรื่องพลังงานที่ได้รับจากอาหารในแต่ละวัน เฉลี่ยพลังงานทั้งหมดที่ต้องการต่อวัน ประมาณ 2,000 กิโลแคลอรี อัตราส่วนอาหารที่เหมาะสมคือ
- ร้อยละ 50 ของพลังงานมาจากคาร์โบไฮเดรต และอาหารแป้งไม่เกิน 250 กรัมต่อวัน
- ร้อยละ 20 ของพลังงานมาจากโปรตีน เท่ากับโปรตีน 100 กรัมต่อวัน
- •ร้อยละ 30 ของพลังงานมาจากไขมัน เท่ากับไขมัน 65 กรัม และควรเป็นไขมันอิ่มตัว ไม่เกินร้อยละ 10 หรือ 20 กรัมต่อวัน คนที่เผาผลาญน้อยก็ควรทานในปริมาณน้อยกว่าที่กล่าวนี้
5. ควรเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ผลไม้ ข้าว เนื้อไก่ อาหารจำพวกซุปชนิดต่าง ๆ โยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต ซึ่งมีผลทำให้สุขภาพของระบบย่อยอาหารดีขึ้น
6. เคี้ยวอาหารประมาณ 30 ครั้งในแต่ละมื้อเป็นอย่างน้อย เพราะข้อดีที่เห็นชัดเจน คือ จะช่วยให้ระบบย่อยทำงานน้อยลง "การเคี้ยวให้ช้าลง" ช่วยกระตุ้นสมอง และต่อมน้ำลาย
7. ควรดื่มน้ำเมื่อตื่นนอนทันที เพิ่มความสดชื่น กระตุ้นระบบขับถ่าย ระบบหลอดเลือด ความดันโลหิต และก่อนอาหารอย่างน้อย ๆ 15 นาที ส่วนระหว่างรับประทานอาหารและหลังอาหาร 40 นาที ดื่มน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วช่วยให้น้ำย่อยเข้มข้น ย่อยอาหารได้เต็มที่ และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2 - 3 อึก แต่จิบถี่ ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันเพื่อให้ลำไส้ดูดซึมได้ทัน
8.ไม่ควรรับประทานอาหารที่ผ่านการแปรรูป อาหารแปรรูป เช่น ธัญพืชแบบกล่อง มีส่วนประกอบที่เป็นอันตราย ทั้งน้ำตาลฟรุกโตส สีผสมอาหาร ผงชูรส สารเติมแต่งอื่นๆ หรือแม้กระทั่งฟอร์มัลดิไฮด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง เนยเทียมเป็นอาหารแปรรูปที่เป็นภัยต่อสุขภาพมากที่สุดชนิดหนึ่ง มันคือไขมันทรานส์แฟต มันฝรั่งทอดไม่มีคุณค่าทางอาหารใด ๆ น้ำผลไม้แทบไม่เหลืออะไร นอกจากน้ำตาลกับน้ำเท่านั้น และสารเคมีอื่น ๆ ที่เกิดจากกระบวนการอาหารแปรรูปและบรรจุกล่อง

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตมีความสำคัญ เนื่องจากไตไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกาย การควบคุมอาหารที่ถูกต้องมีผลทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนน้อยลง ชะลอการเสื่อมของไต อาหารที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษได้แก่
  1. โปรตีน ถ้าไตเสื่อมไม่มากให้รับประทานโปรตีนได้ 0.8 กรัม/กก/วัน แต่ถ้าเสื่อมมากให้จำกัดปริมาณโปรตีนไม่เกิน 0.6 กรัม/กก/วันไข่ โปรตีนเป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดของเสียซึ่งจะถูกขับออกทางไต ถ้าไตเสื่อมของเสียจะคั่งและไปสะสมตามอวัยวะต่างๆ ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานผิดไป อาหารที่ให้โปรตีนสูงได้แก่ ไข่ ถั่ว นม เนื้อสัตว์ ไข่ให้รับประทานไข่ขาว ไม่ควรรับประทานไข่แดงเนื่องจากไข่แดงมี phosphorus และ cholesterol มาก ถ้าดื่มนมจะต้องลดอาหารเนื้อสัตว์ พวกถั่วต่างๆแลผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ให้โปรตีนสูงควรงด เนื้อสัตว์ให้รับประทานเนื้อปลาเป็นหลัก
  2. แป้งหรือคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ข้าว กวยเตี๋ยว วุ้นเส้น บะหมี่ เผือก มัน ขนมจีนผู้ป่วยควรรับประทานหมู่นี้ให้มาก ยกเว้นไตวายจากโรคเบาหวานต้องปรึกษาแพทย์
  3. ไขมัน หลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์เช่น มันหมู มันไก่ มันเป็ด น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม กะทิ แกงต่างๆ เครื่องใน ขาหมู หนังไก่ ไก่ตอน มันไก่ให้ใช้น้ำมันถั่วเหลืองแทน หลีกเลี่ยงอาหารหรือขนมที่องใส่กะทิ
  4. เกลือแร่ ผู้ป่วยไตวายให้ลดอาหารเค็ม เพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูง บวม น้ำท่วมปอด ตัวอย่างอาหารที่มีเกลือมากควรหลีกเลี่ยง
  • หากท่านซื้ออาหารกระป๋องท่านต้องอ่านสลากอาหารเพื่อดูปริมาณสารอาหาร ให้เลือกที่มีเกลือต่ำ
  • รับประทานอาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ ผัก หรือผลไม้ แทนการรับประทานอาหารที่ผ่านขบวนการถนอมอาหาร
  • ไม่เติมเกลือหรือน้ำปลาเพิ่มในอาหารที่ปรุงเสร็จ
  • หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เช่น หมูเค็ม เบคอน ไส้กรอก ผักดอง มัสตาร์ด และเนยแข็ง
  • อาหารตากแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม หอยเค็ม กุ้งแห้ง ปลาแห้ง
  • เนื้อสัตว์ปรุงรส ได้แก่ หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง
  • อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่สำเร็จรูป โจ๊กซอง ซุปซอง
  • อาหารสำเร็จรูปบรรจุถุง เช่น ข้าวเกรียบ ข้าวตังปรุงรส มันฝรั่ง
  • เครื่องปรุงรสที่มีเกลือมาก เช่น ซุปก้อน ผงชูรส ผงฟู
  • อาหารหมักดองเค็ม เช่น กะปิ เต้าหู้ยี้ ปลาร้า ไตปลา ไข่เค็ม ผักดอง ผลไม้ดอง แหนม ไส้กรอกอีสาน
 เนื่องจาก โพแทสเซียมถูกขับออกทางไต ไตเสื่อมทำให้เกิดการคั่งของโพแทสเซียม ผู้ป่วยไตวายมักจะมีการคั่งของ โพแทสเซียม ถ้าระดับโพแทสเซียมสูงมากอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ หารต้องการรับประทานผลไม้ควรรับประทานก่อนการฟอกเลือดแครอท
  • ผักที่มีโพแทสเซียมสูงควรงดได้แก่ หัวปลี ผักชี ต้นกระเทียม ที่มีมากได้แก่ บร๊อคโคลี่ แครอท มันเทศ ผักบุ้ง เห็ดฟาง มะเขือพวง มะเขือเปราะ ใบแมงลัก โหระพา หน่อไม้ฝรั่ง หอมแดง ผักปวบเล้ง มันฝรั่ง มะเขือเทศ ดอกกระหล่ำ ถั่วต่างๆ เม็ดทานตะวัน กาแฟ น้ำนม ผักที่มีโพแทสเซียม ปานกลางได้แก่ เห็ดนางฟ้า แตงกวา ฟักเขียว พริกฝรั่ง หัวผักกาดขาว มะเขือเทศสีดา ผักกาดขาวใบเขียว พริกหยวก  ผักที่มีโพแทสเซียมน้อยได้แก่ บวบเหลี่ยม ถัวพู หอมหัวใหญ่ ผักที่มีน้อยที่สุดคือเห็ดหูหนู
  • ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงควรงดได้แก่ มากที่สุดคือทุเรียนหมอนทอง และชะนี รองลงมาได้แกมะพร้าว  กล้วย ลำไยพันธ์ต่างๆ  มีปานกลางได้แก ฝรั่ง มะขาม กระท้อน  ส้ม ลางสาด องุ่น มะม่วง มะละกอสุก ลิ้นจี่ ละมุด ขนุน ลูกพรุน ลูกเก็ด
  • ผักและผลไม้ที่พอรับประทานได้ แต่ปริมาณไม่มากได้แก่ ถั่วพู ถั่วผักยาว มะเขือยาว หน่อไม้ตรง ผักคะน้า ถั่วลันเตา มะระ หัวผักกาดขาว มะม่วง มะละกอ องุ่น แตงโม แอปเปิล ชมพู่
  • ผักที่รับประทานได้ กะหล่ำปลี แตงกวา บวบ ฟักเขียว ถั่วงอกไข่
ผู้ที่มีโพแทสเซียมในเลือดสูง(มากกว่า )ควรจะงดผลไม้ทุกชนิดต่อเมื่อแพทย์สั่งเท่านั้น
หากแพทย์ไม่ได้สั่งให้งด ควรปฏิบัติตนด้านการรับประทานผลไม้ดังนี้
  • งด ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่นทุเรียนและผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกด ลูกพรุน
  • รับประทานผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงในปริมาณที่จำกัด เช่นกล้วย ฝรั่ง กระท้อน
  • รับประทานผลไม้ที่มีโพแทสเซียมปานกลางได้พอควร เช่นส้มเขียวหวาน ครั้งละผล ผลไม้ดังกล่าวได้แก่ ส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง มะละกอสุก มะม่วงสุก มะม่วงดิบ ส้มโอ แอปเปิลแดง สตรอเบอรี่ ลางสาด แคนตาลูปเงาะ ขนุน การรับประทานต้องตามแพทย์สั่ง
  • ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำ รับประทานได้ค่อนข้างมาก เช่นแตงโม และสับปะรดกระป๋อง
ฟอสฟอร์รัส
ฟอสฟอรัสมีมากที่สุดในนมทุกรูปแบบ  ผลิตผลจากนม เช่นเนยแข็ง โยเกิร์ต ไอศกรีม ผู้ป่วยโรคไตวายควรหลีกเลี่ยงนมทุกชนิด ไข่ไก่ ไข่เป็ดโดยเฉพาะไข่แดงจะมีฟอสฟอรัสมากรองจากนม ส่วนไข่ขาวมีน้อย ถั่วเมล็ดแห้งทุกชนิด เมล็ดฝักทอง เมล็ดแตงโม นมสด เนยแข็ง ไข่แดง ถั่ว เนยแข็ง ไข่แดงเมล็ดมะม่วงหินพานต์ การที่รับประทานอาหารเหล่านี้มากจะทำให้ระดับฟอสเฟตในเลือดสูงทำให้ระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ในเลือดสูงขึ้น และวิตามิน ดี ในเลือดต่ำลงส่งผลให้มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง
เหล็ก
ผู้ป่วยโรคไตควรได้รับธาตุเหล็กเสริมในรูปของยารับประทาน
  1. น้ำหากไตเสื่อมไม่มากไม่บวมก็ดื่มได้ตามปกติ หากไตเสื่อมมาก ผู้ป่วยดื่มน้ำไม่เกินวันละประมาณ 500 มิลลิลิตร ไม่ควรดื่มน้ำแร่ น้ำหนักไม่ควรเพิ่มเกินวันละ 0.5 กิโลกรัม

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

สุขภาพที่ดีของอวัยวะเพศชาย

                                         
สุขภาพที่ดีของอวัยวะเพศชาย คือสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ชายแทบจะทุกคน และกล่าวได้ว่า เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้หญิงหลายคนด้วย เพราะผู้หญิงที่มีคนรัก ก็ย่อมอยากให้คนรักของตัวเอง มี ?น้องชาย? ที่มีสุขภาพแข็งแรง สู้งาน ไม่มีถอย! ? ? ถ้าใคร ที่น้องชาย ค่อนข้างอ่อนเปลี้ย มีพลังน้อย ได้เวลาออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางเพศกันแล้ว

เพิ่มความแข็งแรงให้กับมัน

ใช้มือยกส่วนหัว (ส่วนปลาย) ขึ้นมา และดึงเบาๆ ให้ยืดออกไปข้างหน้า จับค้างไว้อย่างนั้น 4 – 5วินาทีต่อไป ใช้มือข้างที่ถนัด จับทั้งท่อนให้มั่น และโยกไปทางด้านขวา โยกไปจนกระทั่ง รู้สึกตึงนิดๆ จับค้างไว้ 4 ? 5 วินาทีใช้มือจับส่วนหัว และดึงให้ยืดออกไป ทางด้านซ้าย จับค้างไว้ 4 -5 วินาทีจังหวะนี้ โยกน้องชายลงมาด้านล่าง และจับค้างไว้ 4 -5 วินาทีขั้นตอนสุดท้าย จับน้องชายโยกขึ้นด้านบน และจับค้างไว้ 4 -5 วินาทีปฏิบัติตามขั้นตอนที่ 1 -5 อีกครั้งปฏิบัติ ตามขั้นตอนที่ 1 -5 ให้ได้ครับ 15 ครั้ง (ประมาณ 5 นาที)

ออกกำลัง เพื่อความใหญ่

นวดกาปู๋ จนกระทั่งเริ่มแข็งตัวใช้มือข้างที่ถนัด จับที่โคนกาปู๋ โดยทำมือเป็นสัญลักษณ์ ok นิ้วชี้จรดนิ้วโป้งเริ่มที่ส่วนโคน ค่อยๆ รูดมือไปที่ส่วนหัวช้าๆ โดยใช้เวลา 2 -3 วินาทีเมื่อถึงส่วนหัว ใช้มืออีกข้างหนึ่ง ทำเป็นสัญลักษณ์ ok เช่นเดียวกัน และทำแบบเดียวกันกับที่ อีกมือหนึ่ง ทำในครั้งแรกปฏิบัติ ตามขั้นตอนที่ 2 -4 อีก ใช้มือทั้งสอง เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ให้มือไปสัมผัส ส่วนปลายสุดของกาปู๋ปฏิบัติต่อเนื่อง เป็นเวลา 5 นาที

ดูแลน้องชาย ให้สุขภาพดี อยู่เสมอ?ทิปส์ เพิ่มเติมเล็กน้อย

ก่อนออกศึก นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มพลังให้น้องชายทานอาหารที่ดี ต่อสุขภาพ ลดอาหารไขมัน เพื่อช่วยให้น้องชายปฏิบัติภารกิจ ได้ดั่งใจปราถนาออกกำลังกายน้องชาย เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ไปหล่อเลี้ยงส่วนนั้นได้เป็นอย่างดีถ้าเลิกบุหรี่ได้ ก็ดี เพื่อช่วยรักษาสุขภาพของน้องชายสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลามากนักอาจใช้อุปกรณ์เสริมจำพวก กระบอกสูญญากาศ เพื่อ เพิ่มขนาด ให้น้องชายของท่านได้ วิธีนี้ทางการแพทย์รับรองว่าได้ผล แต่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

อาการปวดบอกโรคได้

PAIN CHECKLIST อาการปวดบอกโรคได้
                                     
   อาการปวดเกิดจากประสาทสัมผัสรับความรู้สึก (sensory modality) ที่ร่างกายมีอยู่ตามปกติ เป็นสัญญาณบอกอันตรายที่เกิดขึ้นภายในและภายนอกร่างกาย หรือกำลังประท้วงว่าคุณใช้งานร่างกายหนักเกินไป คนที่เกิดมาแล้วไม่มีความรู้สึกปวดเลย เช่น ภาวะ hereditary sensory autonomic neuropathy จะอายุไม่ยืนเพราะไม่มีกลไกสำคัญในการป้องกันตัวเองจากโรคติดเชื้อ บาดแผล หรือแม้กระทั่งความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้
ปวดหัวแบบไหนที่ไม่ธรรมดา
   อาการปวดหัวไม่ใช่การปวดที่สมองโดยตรง แต่อาจเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและคอหดตัว โดยทั่วไปเป็นแล้วหายเองได้ แต่ถ้าอาการปวดไม่ดีขึ้นและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ควรไปพบแพทย์ 

   สิ่งที่คุณควรบอกแพทย์เมื่อปวดหัวคือ
  • รูปแบบการปวด - ปวดทันทีแบบไม่เคยเป็นมาก่อน - ปวดเป็นๆหายๆ - ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ประวัติการปวด - ปวดเป็นครั้งแรก - เคยปวดแบบนี้มาก่อนแล้ว - เป็นๆ หายๆ  
  • ตำแหน่งที่ปวด - ขมับ - กลางหัว - ทั้งหัว - ท้ายทอย - ด้านซ้าย - ด้านขวา - ปวดต่อเนื่องไปที่คอ สะบัก แขน ไหล่ หรือหลัง - อื่นๆ
  • ช่วงเวลาการปวด - เช้า - กลางวัน - เย็น - กลางคืน - ไม่เป็นเวลา 
  • ระยะเวลาปวด - 30 นาที - 1-2 ชั่วโมง - ทั้งวัน - ไม่แน่นอน - อื่นๆ
  • อาการปวด - ปวดแบบหนักหัว เหมือนถูกบีบรัดหัว - ปวดแบบมึน - ปวดและเจ็บตามหนังศีรษะ เส้นผม - ปวดเมื่อต้องใช้สายตาเพ่งมอง - อื่นๆ
  • อาการร่วม - มีไข้ - คอแข็ง - คลื่นไส้ อาเจียน - เห็นแสงระยิบระยับในตา - มีน้ำมูก ปวดโพรงไซนัส
อาการ : ปวดหัวรุนแรง ไม่มีไข้ หรือปวดหัวรุนแรงหลังเกิดอุบัติเหตุ
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : อุบัติเหตุที่ศีรษะ เลือดออกในศีรษะ ความดันสูง เส้นเลือดโป่งพอง  
อาการ : ปวดหัวเฉียบพลันรุนแรงมากจนทนไม่ได้ มีอาการทางระบบประสาท เช่น มือสั่น สูญเสียความจำ เคลื่อนไหวลำบาก
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : โพรงในสมองโต (มีน้ำในสมอง) เนื้องอก และเลือดออกในสมอง
อาการ : ปวดหัวรุนแรง มีไข้สูง คอแข็ง คลื่นไส้ อาเจียนสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : เยื่อหุ้มสมองอักเสบ  
อาการ : ปวดหัวเป็นประจำ ไม่โปร่งหัว ตึงหัว หนักหัว ปวดท้ายทอย บางครั้งปวดหัวตุ๊บๆ
ปวดหัวจากความเครียด (Tension headache)
อาการ : ปวดหัวแบบเป็นๆ หายๆ เวลาปวดปวดมาก แต่เวลาหายก็หายสนิท มีรูปแบบการปวดแน่นอน คือค่อยๆ ปวดจนพีค แล้วปวดหัวตุ๊บๆ จากนั้นจึงอาเจียน ก่อนปวดหัว อาจเห็นแสงระยิบระยับในตา มองเห็นตัวหนังสือยึกยักร่วมด้วยสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ไมแกรน
อาการ : ปวดคล้ายปวดหัวจากความเครียด หรือไมแกรน ที่สำคัญมักมีอาการเจ็บและปวด เวียนหัว ตามัว เจ็บหนังศีรษะ แตะผมแล้วเจ็บ เจ็บเวลากลอกตา บางครั้งแขนขาอ่อนแรง หรืออาจปวดลามไปที่คอ  สะบัก แขน ไหล่ หรือหลังด้วยสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ปวดหัวจากเส้นประสาทอักเสบ
อาการ : ปวดหัว  ร่วมกับมีน้ำมูกไหล มีกลิ่นปาก ปวดโพรงไซนัสสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ปวดหัวจากไซนัส
อาการ :ปวดหัวเมื่อใช้สายตานานๆ ปวดหัวรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ  
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ปวดหัวจากตา ได้แก่ ต้อหิน สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง
ปวดท้องแบบไหนที่ไม่ธรรมดา
   อาการปวดท้องที่ต้องพบแพทย์ทันที คือ ปวดท้องเฉียบพลัน รุนแรง ความดันต่ำ เป็นลม ไข้ขึ้น มีเลือดออกร่วมด้วย (อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระมีสีดำ) ซึม ไม่รู้สึกตัว และมีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

   สิ่งที่คุณต้องบอกแพทย์เมื่อปวดท้อง คือ รูปแบบการปวด ประวัติการปวด ช่วงเวลาการปวด ระยะเวลาปวด เช่นเดียวกับการเช็คอาการปวดหัว รวมทั้ง..
  • ตำแหน่งที่ปวด - ทั้งท้อง - ซ้ายบน - ซ้ายล่าง - ขวาบน - ขวาล่าง - ข้างซ้าย - ข้างขวา - อื่นๆ
  • อาการ - ปวดเกร็งๆ เป็นพักๆ - ปวดแสบ - ปวดมวน - อยากถ่าย - ปวดแบบลำไส้ถูกบิด - อื่นๆ
  • อาการร่วม - อึดอัด แน่นท้อง - ท้องร่วง ท้องเสีย - มีไข้ - ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน - รู้สึกเหมือนมีอะไรติดคอ - คลื่นไส้อาเจียน - แสบร้อนหน้าอก - ตาเหลือง ตัวเหลือง
  • สิ่งกระตุ้นอาการปวด - ความหิว - แอลกอฮอล์ - ชา กาแฟ - อาหารมันเลี่ยน - อื่นๆ
  • สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น - การกินอาหาร - นอนพัก - นั่งงอตัว - อื่นๆ เช่น ยาแก้ปวด ยาเคลือบกระเพาะ ฯลฯ
อาการ : ปวดหรือจุกเสียดช่องท้องส่วนบน อึดอัด แน่นท้อง หรือท้องเฟ้อแม้กินอาหารเข้าไปเพียงเล็กน้อย  
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : การย่อยอาหารไม่ดี
อาการ : ปวดท้อง ท้องเสีย มีไข้ อาเจียน มีเลือดปนในอุจจาระสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : อาหารเป็นพิษ
อาการ : ปวดท้องแบบแสบ ปวดทั้งก่อนและหลังกินอาหาร เป็นๆหายๆ จุกเสียดแน่นท้อง และอาจมีคลื่นไส้อาเจียนสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : กระเพาะอาหารเป็นแผล
อาการ : คล้ายเป็นแผลในกระเพาะ กลืนอาหารแล้วติดคอ จุก ไอกลางดึกโดยเหมือนมีอะไรติดคอ แสบร้อนหน้าอก ไอเรื้อรังสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : กรดไหลย้อน
อาการ : ปวดท้องเฉียบพลัน ปวดท้องด้านล่างขวา จุกเสียดลิ้นปี่ คลื่นไส้อาเจียน หากเป็นไส้ติ่งแตก อาจมีไข้ร่วมด้วย  
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ไส้ติ่งอักเสบ
อาการ : ปวดท้องรุนแรง ปวดเกร็งช่องท้องบนขวา ปวดร้าวถึงด้านหลัง ท้องอืดหลังอาหารมื้อหนัก 1/2 - 1 ชั่วโมง และมีอาการ 2-3 ชั่วโมง คลื่นไส้ อาเจียน  
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : นิ่วในถุงน้ำดี
อาการ : ปวดท้องแบบเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง
อาการ : ปวดท้องเฉียบพลันรุนแรงมาก เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง อาจถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน
อาการ : ปวดท้องเฉียบพลันรุนแรง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อ่อนเพลีย และมีไข้
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ฝี หนองในตับ
อาการ : ปวดท้อง  แน่นท้อง  เหมือนอาหารไม่ย่อย  น้ำหนักลด  กินอาหารไม่ได้  อาเจียน  อาการแย่ลงเรื่อยๆ
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : เนื้องอกในกระเพาะอาหาร
อาการ : ปวดท้องแบบบีบๆ อยากถ่าย ปวดเป็นพักๆ ท้องอืด แน่นท้อง ท้องเสีย อาเจียน มีไข้ มีอาการไม่เกิน 7 วันสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ลำไส้อักเสบเฉียบพลัน
อาการ : ปวดท้องเรื้อรังแบบเป็นๆ หายๆ ถ่ายเป็นมูกเลือด ท้องเสีย ปวดท้องนานเกิน 3 สัปดาห์สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ลำไส้อักเสบเรื้อรัง
อาการ : ปวดท้องแบบเฉียบพลัน ปวดท้องมาก คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะขัด ยาก และมีเลือดปน ไข้ขึ้นสูง    
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : นิ่วในไต
อาการ : ปวดท้องเฉียบพลัน รุนแรง ปวดร้าวไปถึงด้านหลัง ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นสูงและต่ำลงอย่างรวดเร็วสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ : ปวดท้องเฉียบพลันจากหลอดเลือดแดงใหญ่ปริหรือแตก
ปวดหลังแบบไหนที่ไม่ธรรมดา
   อาการปวดหลังส่วนใหญ่ไม่ร้ายแรงและหายเองได้ แต่อาการปวดหลังที่เป็นไข้หรือความผิดปกติของระบบปัสสาวะด้วย หรือปวดแบบไม่ทุเลาแม้จะนอนพักแล้วก็ตาม เจ็บปวดแบบเฉียบพลันแบบไม่รู้สาเหตุ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ได้มาจากกล้ามเนื้อและข้อ เช่น
  • เนื้องอกของกระดูกสันหลัง หรือมะเร็งที่กระจายมาที่กระดูกสันหลัง
  • ความผิดปกติของอวัยวะภายใน แล้วมีอาการปวดร้าวไปถึงหลัง เช่น นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ 
  • การอักเสบหรือมีการติดเชื้อ เช่น วัณโรคกระดูกสันหลัง
   สิ่งที่คุณต้องบอกแพทย์เมื่อปวดหลัง คือ รูปแบบการปวด ประวัติการปวด ช่วงเวลาการปวด ระยะเวลาปวด เช่นเดียวกับการเช็คอาการปวดหัว รวมทั้ง..
  • ตำแหน่งที่ปวด - ปวดทั้งแผ่นหลัง - กลางกระดูกสันหลัง - ปวดเอว - กดกล้ามเนื้อแผ่นหลังแล้วเจ็บ - อื่นๆ
  • อาการ - ปวดเมื่อยตามตัว - ปวดตามกล้ามเนื้อ - ปวดร้าวหลังและไหล่ - อื่นๆ
  • อาการร่วม - มีไข้ - ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน - รู้สึกเหมือนมีอะไรติดคอ - คลื่นไส้อาเจียน - เบื่ออาหาร - ความดันเลือดสูง - อื่นๆ
อาการ : ปวดเมื่อย กล้ามเนื้อตึงตัว เคลื่อนไหวลำบาก หลังยกของหรือทำงานหนัก
โรค : ปวดหลังแบบธรรมดา
อาการ : ปวดเสียว กล้ามเนื้อกระตุก ปวดเหมือนไฟฟ้าช็อต    
โรค : เส้นประสาทอักเสบ
อาการ : มีไข้สูงลอย 2-7 วัน ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว คล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่มีอาการไอ เจ็บคอ มีจุดแดงขึ้นตามตัว
โรค : ไข้เลือดออก
อาการ : มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เจ็บหน้าอก รู้สึกอ่อนเพลียโรค : ไข้หวัดใหญ่
อาการ : ปวดหลัง ปวดเอว มีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดแสบปวดร้อนขณะถ่ายปัสสาวะโรค : ไตและกรวยไตอักเสบ
อาการ : ปวดเหนือบั้นเอวทั้งสองข้าง อาจคลำพบก้อนบริเวณไต มีเลือดปนในปัสสาวะ ความดันโลหิตสูง โลหิตจาง  
โรค : ถุงน้ำในไต
อาการ : ครั่นเนื้อครั่นตัว  ทางเดินอาหารผิดปกติ มีไข้ ปวดรุนแรงและเรื้อรังตามเส้นประสาท มีผื่นแดงและตุ่มน้ำขนาดเล็ก  
โรค : งูสวัด