ปัจจัยเสี่ยง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
1. เพศ - อัตราการเกิดโรค พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 3 เท่า - อัตราการเสียชีวิต พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 5 เท่า
2. ประวัติครอบครัว ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบก่อนวัยอันควร (ผู้ชายอายุน้อยกว่า 55 ปี ผู้หญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี) จะมีความเสี่ยงการเกิดโรคสูง
3. ความดันโลหิตสูง พบว่า - ผู้ที่อายุน้อยกว่า 50 ปี ความดันโลหิตตัวล่างที่สูงจะมีผลต่ออัตรา เสี่ยงมากที่สุด - ผู้ที่อายุ 50 – 59 ปี ความดันโลหิตทั้งตัวบนตัวล่าง และ Pulse Pressure (ค่าความแตกต่างระหว่างความดันตัวบนและตัวล่าง) ที่ สูงขึ้น มีผลต่ออัตราเสี่ยงของการเกิดโรค - ผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ค่า Pulse Pressure มีผลต่ออัตราเสี่ยงมากที่ สุด
4. การสูบบุหรี่ เป็นปัจจัยสำคัญ พบว่าผู้ที่สูบบุหรี่วันละ 1 ซอง จะเพิ่มอัตราการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย 3 เท่าในผู้ชาย และ 6 เท่าในผู้หญิง เทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
5. ภาวะไขมันในเลือดสูง พบว่าค่าไขมันคอเลสเตอรอลและไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูง รวมถึงค่า HLD ต่ำ มีผลต่ออัตราเสี่ยงการเกิดโรคสูง
6. เบาหวาน เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบตัน โดยเฉพาะผู้หญิง
7. ภาวะการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน พบการเกิดโรคนี้สูงขึ้นในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
8. โรคอ้วน พบว่าคนอ้วนที่ค่า Body Mass Index 40 จะมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ 2 -7 เท่าในผู้ชาย และ 1.9 เท่าในผู้หญิง

การตรวจเพื่อยืนยัน โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
1. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ช่วยในการวินิจฉัยได้ในระดับหนึ่งในกลุ่มที่มีอาการเจ็บหน้าอก หรือมีการตีบของเส้นเลือดหัวใจที่ชัดเจน ซึ่งอาจต้องใช้การตรวจพิเศษชนิดอื่นที่เฉพาะเจาะจง และยืนยันการวินิจฉัยต่อไป
2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจโดยการวิ่งสายพาน (Exercise Stress Test) เป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่ช่วยคัดกรองผู้ที่มีเส้นเลือดหัวใจตีบเล็กน้อยและยังไม่มีอาการ แต่เมื่อออกกำลังกายโดยการเดินบนสายพานที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นและทำงานหนักขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ จะเกิดอาการแน่นหน้าอกขณะออกกำลังกายหรือมีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าให้เห็น นอกจากนี้ยังช่วยประเมินความฟิตของร่างกายได้อีกด้วย
3. ตรวจเลือดหาระดับเอนไซม์ของกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Enzyme) ได้แก่ ค่า CPK และ CK-MB, Troponin T, Troponin I ค่าดังกล่าวจะสูงขึ้นเฉพาะกรณีมีกล้ามเนื้อหัวใจตาย
4. การตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยเครื่องเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ เป็นการตรวจที่ใช้เทคโนโลยีเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ มาตรวจหาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ สามารถประเมินเส้นเลือดหัวใจว่าตีบกี่เส้นและตีบมากน้อยแค่ไหนได้อย่างแม่นยำ
5. การตรวจโดยวิธี Nuclear Scan เป็นวิธีการตรวจโดยฉีดสารรังสีเข้ากระแสเลือด แล้วใช้เครื่องสแกนวัดว่ากล้ามเนื้อหัวใจส่วนไหนขาดเลือด เป็นวิธีที่ค่อนข้างแม่นยำสูง แต่ค่อนข้างยุ่งยากในการทำ
6. การตรวจหลอดเลือดหัวใจ โดยใช้คลื่นแม่เหล็ก (Cardiac MRI) เป็นการตรวจที่แสดงให้เห็นภาพของหัวใจทั้งขนาดหัวใจ การทำงานของหัวใจ รวมถึงเห็นรายละเอียดของกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือดหัวใจว่าตีบหรือไม่ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่มีข้อจำกัดคือราคาแพงมาก และมีที่ใช้เฉพาะโรงพยาบาลใหญ่ๆ เท่านั้น
7. การสวนหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram) เป็นการตรวจโดยใส่สายสวนเข้าไปทางหลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบหรือแขน จนถึงหลอดเลือดหัวใจโดยตรง เพื่อฉีดสารทึบแสงรังสี ดูรายละเอียดของหลอดเลือดหัวใจ สามารถบอกได้ว่าเส้นเลือดหัวใจตีบกี่เส้น ตีบมากน้อยแค่ไหน เป็นการตรวจที่แม่นยำสูงสุด และยังสามารถทำการรักษาต่อทันทีที่พบหลอดเลือดตีบ ด้วยการขยายด้วยบอลลูนหรือใส่ขดลวด (Stent) ข้อเสีย เป็นการตรวจที่มีค่าใช้จ่ายสูง และมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดเลือดปริฉีกขาด แม้จะมีโอกาสเกิดน้อยมากในมือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น